วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

จดหมายกิจธุระ

      การเขียนจดหมายกิจธุระ
วัตถุประสงค์ของการเขียนจดหมายกิจธุระมีได้หลายกรณี เช่น เชิญวิทยากร ขอความอนุเคราะห์ ขอบคุณ ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์ใด ส่วนต่างๆในจดหมายก็จะเหมือนกัน ดังนี้
1.หัวจดหมาย
คือส่วนที่เป็นชื่อและที่อยู่ขององค์กรหรือหน่วยงานที่เป็นต้นสังกัดของผู้ออกจดหมาย เช่น โรงเรียน ชมรม ฯลฯ หากเป็นจดหมายที่ออกโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ก็ใช้ชื่อและที่อยู่ของบุคคลนั้น ถ้ามีหัวกระดาษแสดงตราของหน่วยงานนั้นๆ ถ้านำมาใช้ต้องระบุชื่อและที่อยู่ของผู้ออกจดหมายให้ชัดเจนด้วย

2.ลำดับที่ของจดหมาย
อยู่ตำแหน่งซ้ายบรรทัดเดียวกับบรรทัดแรกของที่อยู่ที่ออกของหัวจดหมาย ใช้คำว่า “ที่”ขึ้นต้น ตามด้วยเลขบอกลำดับของจดหมาย ใส่เครื่องหมาย/และใส่ปีพ.ศ.ไป เช่น ที่ 1/2559 ส่วนองค์กรที่มีชื่อย่อขององค์กร ให้ใส่หลังคำว่า “ที่”

3.วัน เดือน ปี
เขียนจากกลางกระดาษไปทางขวาเล็กน้อย ไม่ต้องใส่คำว่า “วันที่” ชื่อเดือนและพ.ศ.ไม่ต้องย่อคำ เช่น 1 มกราคม 2559

4.เรื่อง
ชื่อหัวข้อเรื่องที่จะเป็นสาระสำคัญของจดหมายฉบับนั้น ควรเป็นประโยคที่สั้นกระชับ บอกวัตถุประสงค์ที่ออกจดหมายให้ชัดเจน เช่น ขอความอนุเคราะห์เข้าไปบันทึกภาพการทำงานขององค์กร ฯลฯ

5.คำขึ้นต้น
จดหมายกิจธุระใช้คำว่า “เรียน”ขึ้นต้นจดหมายเสมอ ตามด้วยชื่อ-นามสกุลหรือตำแหน่งของของผู้รับจดหมาย เช่น เรียนท่านผู้อำนวยการโรงเรียน ฯลฯ

6.ข้อความ
ข้อความซึ่งเป็นเนื้อหาหลักของจดหมาย ต้องมี 2 ย่อหน้าเป็นอย่างน้อย

ย่อหน้าแรก          ให้บอกสาเหตุที่ทำให้ต้องเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา ถ้าข้อความที่จะแจ้งมีมาก ก็อาจแบ่งไปอยู่ในย่อหน้าที่สองได้ตามความเหมาะสม เริ่มด้วยคำว่า “เนื่องด้วย,ด้วย,เนื่องจาก” เช่น เนื่องจากคณะทำงานทำการศึกษาเรื่องปัญหาสุนัขจรจัด...ฯลฯ ในกรณีที่เป็นจดหมายตอบหรือจดหมายที่ส่งไปติดตามเรื่อง ต้องเท้าความเรื่องที่เคยติดต่อกันไว้ โดยใช้คำว่า “ตามที่”ขึ้นต้นเรื่อง และลงท้ายด้วย “นั้น” เช่น ตามที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ ได้ให้ความอนุเคราะห์ส่งนิสิตไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้านั้น..ฯลฯ

ย่อหน้าที่สอง        บอกวัตถุประสงค์ว่าต้องการให้ผู้รับจดหมายดำเนินการอะไร เป็นย่อหน้าสั้นๆแต่ชัดเจน เช่น จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา,จึงเรียนมาเพื่อขอความอนุเคราะห์ ฯลฯ

7.คำลงท้าย
ใช้คำว่า “ขอแสดงความนับถือ”อยู่ตรงกับวันที่

8.ลายมือชื่อ
ต้องเป็นลายมือชื่อจริงของผู้ลงชื่อ ไม่ใช่ลายมือชื่อที่ใช้ตรายางประทับ

9.ชื่อเต็มของผู้เขียนจดหมาย
พิมพ์อยู่ในวงเล็บ ต้องมีคำนำหน้าชื่อเสมอ เช่น นาย...

10.ตำแหน่งของผู้เขียนจดหมาย
ถ้าผู้เขียนจดหมาย มีตำแหน่งรับผิดชอบงานหรือหน่วยงานที่ออกจดหมาย จะต้องพิมพ์กำกับในบรรทัดถัดไป หากเป็นจดหมายที่ออกในนามชมรม ฯลฯ ต้องลงลายมือชื่อของอาจารย์ที่ปรึกษากำกับท้ายจดหมายด้วยทุกครั้ง

11.หน่วยงานที่ออกจดหมายและเบอร์โทรศัพท์ติดต่อของผู้เขียนจดหมาย
นิยมพิมพ์ไว้ลำดับสุดท้ายชิดขอบจดหมายด้านซ้าย โดยมีหมายเลขโทรศัพท์อยู่บรรทัดต่อไป หากมีหมายเลขโทรสารและที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ก็ให้ระบุไว้ด้วย เพื่อให้ผู้รับจดหมายสามารถติดต่อกลับได้สะดวก

12.ซองจดหมาย

อาจใช้ซองจดหมายขนาดมาตรฐาน 5x7 นิ้ว หรือขนาดเท่าจดหมายราชการ รหัสไปรษณีย์ให้ใช้เป็นเลขอารบิก

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญาเเห่งประเทศไทย

 สมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย

11/10/59
            วันนี้ พวกเราได้ไปที่สมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย เพราะในวันนี้ โครงการ Pic A Pet4Home จะนำสุนัขมาช่วยบำบัดคนพิการทางสติปัญญา ป้าแครี่ซึ่งอยู่ในโครงการนี้ด้วยจึงบอกข่าวมา พวกเราจึงขออนุญาตตามมาสังเกตการณ์ด้วย
            สมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทยตั้งอยู่ที่ ถนนรามอินทรา ซอย 8 เมื่อมาถึงเจ้าหน้าที่ก็ได้พาไปยังห้องที่จัดงานขึ้น ในห้องนี้มีทีมงาน Pic A Pet4Home ซึ่งกำลังนำสุนัขออกมาให้เหล่าผู้พิการได้จับและจูงเล่น(สุนัขที่นำมาส่วนหนึ่งเป็นสุนัขจรจัด) โดยสุนัขทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นสุนัขที่เชื่องและเข้ากับคนได้ง่าย สุนัขมีอยู่ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่ สุนัขพันธุ์เล็ก และสุนัขพันทาง
            สำหรับคนพิการบางคน ในตอนแรกๆที่นำสุนัขออกมาก็กลัว ไม่กล้าจับ อาจเป็นเพราะกลัวโดนกัด และไม่คุ้นชินกับสุนัข เมื่อเห็นคนอื่นๆจับสุนัขกัน ก็ค่อยๆจับสุนัขอย่างกล้าๆกลัวๆ โดยทีมงานคอยบอกวิธีจับอยู่ เช่น อย่าจับสุนัขแรง ไม่เสียงดัง และสุนัขไม่ดุ จับได้ พวกเขาก็เริ่มมีความกล้ามากขึ้น และลูบตัวของสุนัขอย่างระมัดระวัง เมื่อคุ้นชินกับสุนัขแล้ว พวกเขาก็ไม่มีปฏิกิริยาหวาดกลัวอีกต่อไป ทั้งยังมีรอยยิ้มแห่งความสุข ที่ได้เล่นกับสุนัขเหล่านี้ ต่อมาทีมงานก็เชิญชวนให้พวกเขามาร่วมแต่งตัวให้สุนัขจากชุดที่มีเตรียมไว้ให้ ซึ่งเหล่านี้ได้เพิ่มรอยยิ้มให้มีมากขึ้นอีก เมื่อได้ลองใส่และเปลี่ยนชุดให้สุนัข รวมทั้งมีการถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน สุนัขแต่ละตัวก็ดูมีความสุขที่มีคนมาจับมาเล่นด้วย
จากวันนี้ ทำให้เห็นได้ว่าสุนัขจรจัดนั้น หากมีคนคอยเอาใจใส่ ดูแล มันก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้ผู้คนได้ เป็นภาพที่น่าประทับใจมากๆ และในตอนแรก ฉันคิดว่าคนพิการทางสมองเหล่านี้ จะต้องมีความคิดหรืออะไรต่างๆที่ไม่เหมือนกับพวกเรา แต่จากวันนี้ทำให้เห็นว่าพวกเขาไม่ต่างอะไรไปจากคนทั่วไปเลย พวกเขาก็มีความสุข สนุกสนานที่ได้มาใช้เวลาร่วมกับสุนัข ไม่ต่างอะไรจากคนปกติทั่วไปเลย


ปล. พี่ซี พี่แปม ปุ้นและปั้นไม่สามารถมาร่วมทำกิจกรรมในครั้งนี้ได้

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บ้านป้าเเครี่

บ้านป้าแครี่
3/10/59
            เมื่อหลายวันก่อน แม่อ้อเคยบอกพวกเราว่า มีคุณป้าอยู่ท่านหนึ่ง เป็นหนึ่งในกลุ่มองค์กรที่มีชื่อว่า Pic A Pet4Home ป้าแครี่จะคอยรับสุนัขจรจัดมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน ดูแล และหาบ้านใหม่ให้พวกมัน ตอนนี้ที่บ้านของป้าแครี่ก็มีสุนัขอยู่มากถึง 70 ตัวแล้ว พวกเราสามารถไปพูดคุยกับป้าแครี่ได้ ซึ่งพวกเราทุกคนมีความเห็นตรงกัน
            เมื่อพวกเรามาถึงยังบ้านป้าแครี่ บ้านป้าแครี่ต่างจากที่ฉันจินตนาการไว้ บ้านป้าแครี่ที่ฉันนึกไว้ จะมีลักษณะกว้างขวางใหญ่โต และอยู่ห่างออกมาจากบ้านหลังอื่นๆ แต่จากที่เห็นแล้ว บ้านป้าแครี่มีลักษณะและขนาดเหมือนกับบ้านทั่วไปบริเวณนั้น ต่างแค่ที่มีสุนัขอยู่จำนวนมากเท่านั้น สุนัขส่วนใหญ่จะถูกกั้นไว้ให้อยู่ฝั่งหนึ่งของบ้าน ส่วนที่พวกเรายืนอยู่จึงไม่มีสุนัขออกมาให้เห็น สังเกตได้ว่าสุนัขทั้งหมดนั้นแทบจะไม่ส่งเสียงดัง เมื่อเราเข้ามามีเสียงสุนัขบางตัวเห่าเล็กน้อยก่อนจะเงียบไป ต่างจากที่คิดไว้ว่าบ้านหลังนี้จะต้องเสียงดังมากแน่นอน เพราะมีสุนัขอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมากขนาดนี้
            ในที่สุด ป้าแครี่ก็เดินออกมาและแนะนำตัวเองก่อนที่พวกเราจะอธิบายที่มาของโครงงานเรื่องสุนัขจรจัดที่กำลังทำกันอยู่คร่าวๆ จากนั้นพวกเราก็เริ่มการสัมภาษณ์ป้าแครี่ พี่ซีตั้งกล้องสำหรับถ่ายวิดิโอ ฉันและพี่แปมช่วยกันตั้งคำถามถามป้าแครี่ ปุ้น ปั้นและขมิ้นช่วยกันจดบันทึกข้อมูล และข้าวปุ้นก็คอยเก็บภาพจากมุมต่างๆ จนพวกเราก็ได้คำสัมภาษณ์ป้าแครี่ออกมาดังนี้

1.สุนัขจรจัดเป็นปัญหาอย่างไร
            สำหรับนักท่องเที่ยวมาเห็นก็คงจะเป็นภาวะทางสายตา ดูไม่ดี สำหรับคนที่ไม่ชอบสุนัข แค่เห็นก็จะไม่ชอบแล้ว บางคนกลัวถูกสุนัขกัด สุนัขบางตัวก็จะชอบวิ่งไล่รถยนต์ ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย คนมักจะติดต่อแจ้งให้เทศกิจมาจับสุนัขไป ซึ่งการจับสุนัขนั้นจะต้องใช้สวิงไล่จับเอา เป็นภาพที่น่าสงสาร เจ้าหน้าที่จะจับสุนัขจรจัดไปไว้ที่ศูนย์พักพิงประเวศน์ชั่วคราว ก่อนจะส่งต่อไปยังจังหวัดอุทัยธานี เพราะที่ประเวศน์นั้นสามารถรองรับสุนัขจรจัดได้เพียง 5,000 ตัวเท่านั้น
            ทุกสัปดาห์จะมีรถบรรทุกลักษณะคล้ายกับรถเก็บขยะมารับสุนัข สุนัขจรจัดจำนวน 100 ตัวจะถูกจับใส่กรงเล็กๆวางซ้อนกันอยู่ท้ายรถบรรทุก ด้วยการเดินทางหลายชั่วโมง อากาศที่ร้อนและคับแคบทำให้เมื่อมาถึง สุนัขจำนวนไม่น้อยต้องตายไป สุนัขจรจัดที่อยู่รอดก็ไม่ได้มีชีวิตดีกว่าสักเท่าไหร่ เพราะต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีจำกัดคับแคบ เมื่อมีโรคก็จะติดต่อกันเป็นโรคระบาด เสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก และสุนัขแต่ละตัวก็จะตายอย่างทรมาน หากแพทย์รักษาไม่ทัน ซึ่งแพทย์ที่คอยดูแลอยู่มีจำนวนไม่ถึง 10 คนต่อสุนัขจำนวนหลายหมื่นตัว

2.คิดว่าสาเหตุของการมีสุนัขจรจัดคืออะไร
            เกิดจากเจ้าของที่ไม่มีความรับผิดชอบ เมื่อสุนัขถูกนำมาปล่อยทิ้ง จากที่เคยอยู่ในบ้าน ทำให้ไม่คุ้นเคยกับโลกภายนอก ไม่รู้จักการข้ามถนน ทำให้ถูกรถชนไปเป็นจำนวนมาก สำหรับสุนัขจรจัดบางตัวที่เป็นสุนัขจรจัดมานานแล้ว อาจจะพอรู้จักการข้ามถนนอย่างปลอดภัย แต่กว่าที่มันจะเรียนรู้ได้ ก็มีสุนัขจำนวนไม่น้อยถูกรถชนไป
            การที่เราจะเลี้ยงสุนัข 1 ตัว จะต้องรับผิดชอบเลี้ยงไปตลอด ไม่ใช่ว่าเมื่อเบื่อก็ทิ้ง เวลาพาออกไปเดินเล่นนอกบ้านก็ต้องมีสายจูงจูงอยู่ตลอด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ถ้าสุนัขขับถ่ายก็ต้องเก็บทำความสะอาดให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยไว้ให้เป็นภาระของคนอื่น ฉัดวัคซีนป้องกันโรคให้สุนัข และที่สำคัญคือจะต้องทำหมันให้สุนัขทุกตัว บางคนบอกว่าเลี้ยงสุนัขในบ้าน ไม่เป็นไรหรอก แต่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมาก็ได้ เช่นสุนัขหลุดออกมาจากบ้านและผสมพันธุ์ ดังนั้นก็ควรจะป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด


3.มีความเห็นอย่างไรกับการซื้อ-ขายสุนัขตามร้านค้า
            ไม่สนับสนุนการซื้อ-ขายสุนัขเลย เพราะร้านค้าแบบนี้ส่วนใหญ่มักจะเพาะพันธุ์สุนัขเพื่อขายเอาเงินเท่านั้น ไม่ฉีดวัคซีน แต่อาจโกหกลูกค้าว่าฉีดแล้ว เพราะลูกสุนัขนั้น ถ้ายังเด็กจะฉีดวัคซีนได้แค่ไม่กี่ชนิด เพราะถ้าจะรอให้ฉีดวัคซีนได้ทุกชนิด ลูกสุนัขก็จะโตและขายไม่ออกแล้ว ทำให้เมื่อซื้อลูกสุนัขตามร้านค้าแล้วลูกสุนัขส่วนใหญ่จะเป็นโรคตายกันทั้งนั้น ที่สำคัญพวกเขาไม่ใส่ใจ ไม่สนใจว่าลูกสุนัขและพ่อ-แม่พันธุ์ จะมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง เมื่อขายไม่ออก หมดประโยชน์แล้วก็จะไม่สนใจอีก
4.อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ป้าแครี่ช่วยเหลือสุนัขจรจัด
            รู้สึกสงสารพวกมัน สุนัขที่มักถูกคนละเลยมองข้าม เวลาเห็นแววตาที่เศร้าสร้อยของสุนัขจรจัดเหล่านั้นทำให้รู้สึกแย่ และสงสารพวกมันมาก จึงช่วยเหลือสุนัขจรจัดมาตั้งแต่ พ.ศ.2544 และเริ่มช่วยเหลืออย่างจริงจังตั้งแต่พ.ศ. 2549 ตอนนี้ก็เป็นเวลา 15 ปีแล้ว ช่วยเหลือสุนัขมาจำนวน 1,000 ตัวแล้ว
5.อุปสรรคการทำงานมีอะไรบ้าง
            ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดู ค่าอาหาร ค่าวัคซีน ล้วนเป็นเงินส่วนตัวทั้งนั้น ตอนนี้ก็เริ่มน้อยลงแล้ว ยังดีที่ยังพอมีเงินบริจาคเข้ามาช่วยอยู่บ้าง นิสัยของสุนัขบางตัวจะขี้กลัวและหวาดระแวง แก้ไม่ได้ เวลามีคนมาดูสุนัขเพื่อจะรับไปเลี้ยงก็มักจะรับสุนัขที่เชื่องและเป็นมิตรไป ทำให้สุนัขที่ขี้กลัวจะต้องเลี้ยงไว้เอง แล้วก็คนไทยส่วนใหญ่มักจะมีความเชื่อที่มันไร้สาระมาก คือจะไม่เลือกสุนัขหรือแมวที่มีสีดำหรือสีเปรอะ(สุนัขที่มีสีขนปนๆกัน) เพราะคิดว่าเป็นสีอัปมงคล สุนัขพิการก็ไม่เอา ในขณะที่ชาวต่างชาติกลับไม่สนใจในเรื่องนี้เลย
6.ตลอดเวลาการช่วยเหลือสุนัขจรจัดมาหลายปี รู้สึกอย่างไรบ้าง
            รู้สึกว่าในขณะที่คนทำให้เราเสียใจได้ แต่สุนัขไม่เคยทำให้เราเสียใจเลยสักครั้ง มีแต่เพิ่มความสุขให้เรา ตั้งแต่ช่วยเหลือสุนัขจรจัดมา 15 ปี เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน คิดว่าสุนัขจรจัดมีจำนวนลดลงบ้างแล้ว อาจเป็นเพราะมีคนมาช่วยรับอุปการะสุนัขเพิ่มขึ้น และยังมีสัตวแพทย์มาช่วยทำหมันให้ฟรีด้วย
7.อยากแก้ปัญหาสุนัขจรจัดอย่างไร                                                 
            อยากให้มีสื่อชักชวนหรือรณรงค์ให้ผู้คนตระหนักถึงความรับผิดชอบในสัตว์เลี้ยง ไม่นำมาปล่อยเพิ่ม และรณรงค์ให้ทำหมันสุนัขทุกตัวเพื่อไม่ให้สุนัขเพิ่มจำนวนมากขึ้น สำหรับสุนัขชุมชน ก็ไม่อยากให้แจ้งเทศกิจมาจับไป แต่อยากให้ช่วยกันแก้ปัญหา นำสุนัขไปทำหมัน อย่างน้อยสุนัขจะได้ไม่แพร่พันธุ์เพิ่มขึ้น อยากให้ทางรัฐบาลแทรกความรู้เนื้อหาของการเลี้ยงสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบในการศึกษาแกนกลาง เพื่อสอนให้เด็กเข้าใจ และปลูกฝังสู่เด็กรุ่นต่อไปจะได้ไม่ทิ้งสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ
8.อยากบอกอะไรกับคนในสังคม
            ถ้ายังไม่พร้อมจะเลี้ยงสัตว์ ก็อย่าเลี้ยง เพราะจะกลายเป็นภาระให้สังคม เมื่อจะเลี้ยงก็ต้องมีความรับผิดชอบ

            เมื่อสัมภาษณ์เสร็จ เรื่องราวที่ป้าแครี่เล่าให้พวกเราฟัง ทำให้รู้สึกว่าสุนัขจรจัดนั้นน่าสงสารมาก และการแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาจับสุนัขไปนั้น ก็เหมือนกับผลักไสสุนัขออกไปจากตัว เพราะการไปอยู่ที่ศูนย์พักพิงประเวศน์มันไม่ได้ดีไปกว่าการอยู่ตามถนนสักเท่าไหร่นัก

            จากนั้นพวกเราก็จะนำขนมสุนัขที่หุ้นกันมา เอาไปให้สุนัขที่บ้านป้าแครี่กิน โดยจะต้องเอาขนมแต่ละชนิดมาผสมกันในกะละมัง และจะยิ่งดีมากขึ้นถ้าหักขนมให้มีชิ้นเล็กลง เพื่อที่สุนัขจะได้กินง่าย ป้าแครี่บอกว่า เมื่อเข้าไปแล้วให้แยกกันเอาขนมให้สุนัข เพราะสุนัขมีอยู่จำนวนมาก และทุกตัวก็อยากจะกินขนม ดังนั้นเมื่อป้าแครี่เปิดประตูกั้นให้พวกเราเข้าไป ก็แยกกันโปรยขนมลงพื้นให้สุนัข หากป้อนกับมือสุนัขบางตัวอาจงับมือเราได้ สุนัขทุกตัวดูกระตือรือร้นและดีใจมากที่มีขนมมาให้กิน ในเวลาไม่นานนัก ขนมในกะละมังก็หมดลง แต่ยังเหลือขนมอยู่อีกหลายถุงที่ยังไม่ได้แกะ ซึ่งเราจะให้ป้าแครี่เก็บไว้ให้ในครั้งต่อไป

            สุนัขที่นี่มีอยู่ทุกรูปแบบ สุนัขพันธุ์ใหญ่ สุนัขพันธุ์เล็กสุนัขเต็มวัยคือปกติดีทุกอย่างเพียงแต่เป็นสุนัขจรจัดเท่านั้น สุนัขตาบอด มีอยู่จำนวนหนึ่ง บางตัวไม่มีลูกตาทั้งสองข้าง มีสุนัขที่พิการ เดินไม่ได้ต้องใช้ขาหน้าลากตัวเองไป สุนัขที่มีเพียงสามขา สุนัขแม่-ลูกอ่อน ซึ่งจะถูกแยกไว้อีกรงหนึ่ง นอกจากสุนัขแล้วยังมีแมวอีกหลายตัว ฉันรู้สึกตื้นตันใจที่ได้มาให้ขนมสุนัขเหล่านี้ และรู้สึกว่าสิ่งที่ป้าแครี่กำลังทำอยู่มันช่างยิ่งใหญ่มาก สุนัขแต่ละตัวดูมีความสุข และคงจะมีความสุขมากขึ้นไปอีก ถ้ามีเจ้าของมารับไปเลี้ยงดูเอาใจใส่ ป้าแครี่บอกว่าคนมักจะเลือกสุนัขที่เข้ากับคนง่าย ดังนั้นถ้าใครว่างๆสามารถมาช่วยงานได้ มาช่วยอยู่ เล่นกับสุนัขให้มันคุ้นชินกับคน วันนี้พวกเราขอบคุณป้าแครี่ที่ให้พวกเราสัมภาษณ์ และทำให้ได้ความรู้มากขึ้น
           





วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

         ไปบ้านรักหมาที่ม.มหิดล
29/8/59
            วันนี้พวกเรานัดกันไปสถานรับเลี้ยงสุนัขจรจัดที่ใช้ชื่อว่า บ้านรักหมา สถานรับเลี้ยงนี้ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดลฯ เนื่องจากต้องการไปสังเกต การดูแลสุนัขจรจัด และเก็บข้อมูลจากสถานที่จริง แม่อ้อได้แนะนำว่าที่นี่มีสถานรับเลี้ยงสุนัขจรจัดที่มหาวิทยาลัยนี้ ฉันจึงหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับสถานรับเลี้ยงที่มหาวิทยาลัยมหิดลฯ จนได้รู้ว่าเค้ามีชื่อว่าบ้านรักหมานั่นเอง ที่พวกเราเลือกไปสำรวจบ้านรักหมาเพราะเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างใกล้และสะดวกต่อการเดินทาง

           
            สมาชิกทุกคนมากันครบ ก็นั่งรถรางซึ่งมีไว้บริการฟรีมุ่งตรงไปยังบ้านรักหมา เมื่อมาถึง ฉันสังเกตดูรอบๆ ลักษณะของที่นี่จะมีบ้านอยู่ 4 หลังด้วยกัน ไม่เชิงเป็นบ้าน มันเหมือนคอกล้อมกันอยู่ รอบๆนั้นจะเป็นห้องสำหรับให้สุนัขอยู่และตรงกลางเป็นสนามหญ้า บ้านที่ล้อมอยู่นั้นจะมีชื่ออยู่ หลังแรกชื่อว่า เรือนแรกรับ สามารถรู้ได้เลยว่าเรือนนี้เป็นเรือนสำหรับสุนัขที่เพิ่งจับมาใหม่ๆ เรือนที่สองมีชื่อว่า เรือนปรับนิสัย น่าจะเป็นเรือนสำหรับสุนัขที่อยู่ในช่วงปรับนิสัย จากที่ก้าวร้าวหรือขี้กลัวให้เชื่องขึ้น เรือนที่สามและสี่คือ เรือนรอบ้านใหม่ นั่นคือสุนัขที่ผ่านการฝึก ทำให้เชื่อง ฉีดยาป้องกันโรคต่างๆเช่นโรคพิษสุนัขบ้าและทำหมันแล้วเรียบร้อย เหลือแค่รอคนมารับไปเลี้ยง
พวกเราเดินเข้าไปสังเกตใกล้ๆ สุนัขบางตัวเพียงมองมาเฉยๆ แต่บางตัวก็เห่า เมื่อมีตัวหนึ่งเริ่มเห่าตัวอื่นๆก็พากันเห่าตาม ภายในห้องๆหนึ่งจะมีสุนัขอยู่ 3-4 ตัว และแบ่งออกเป็นสองส่วนส่วนแรกคือพื้นกระเบื้อง เป็นส่วนที่มีสุนัขนอนกันอยู่ มีถาดน้ำกับรางอาหารซึ่งมีอาหารเม็ดใส่อยู่จำนวนหนึ่ง และอีกส่วนคือพื้นดิน มีไว้สำหรับให้สุนัขขับถ่าย เราเหลือบไปเห็นคุณน้าและคุณยายที่กำลังเดินดูสุนัขพอดี แม่อ้อก็คงจะเห็นเช่นเดียวกันจึงบอกพวกเราว่า โอกาสดีแล้ว เข้าไปสัมภาษณ์เลย พวกเราเลยรี่ตรงไปยังทั้งสอง ฉันเข้าไปสวัสดีแล้วก็บอกว่าพวกเรากำลังศึกษาเรื่องของสุนัขจรจัด จึงอยากจะขอสัมภาษณ์ ทั้งคู่ใจดีบอกว่าได้ พวกเราขออนุญาตถ่ายวิดิโอเก็บไว้ คุณน้าและคุณยายมีท่าทีอิดออด แม่อ้อจึงมาช่วยบอกให้ว่าวิดิโอนี้จะนำไปประกอบการศึกษาของพวกเรา สักพักก็ยอมให้ถ่าย พี่ซีอัดวิดิโอ ข้าวปุ้นถ่ายรูป ส่วนฉัน พี่แปม ขมิ้น ปุ้นเละปั้นสอบถามข้อมูล พร้อมทั้งจดไปด้วย แต่สักพักฉันรู้สึกว่าจดไม่ถนัด เพราะยืนจดด้วย และคิดว่ามันคงดูไม่ดี ถ้าแต่ละคนต่างก้มหน้าจด คนถูกสัมภาษณ์คงรู้สึกไม่ดีนัก ฉันเลยยกหน้าที่จดรายละเอียดให้พี่แปม ซึ่งจดได้เร็วและละเอียดจัดการไป ขณะที่ฉันเป็นคนตั้งคำถามขึ้นมาเรื่อยๆ


1.เพราะอะไรจึงมาเอาสุนัขจากที่นี่
ที่บ้านตอนแรกมีสุนัขอยู่ 6 ตัว เป็นพันธุ์บางแก้วทั้งหมด ต่อมาก็ค่อยๆทยอยตายลงทีละตัว สุนัขที่บ้านตายไปจนเหลือแค่ตัวเดียว และมันก็เหงาซึม จึงอยากจะหาสุนัขไปอยู่เป็นเพื่อนมัน

2.แล้วทำไมถึงไม่ซื้อสุนัขจากตามร้าน
เพราะว่าอยากจะช่วยสุนัขที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ ขาดความรัก สุนัขที่บ้านทุกตัวก็ไม่เคยซื้อเลย ซื้อแค่ตอนแรกเท่านั้น ที่เหลือก็รับมาเลี้ยงทั้งหมด

3.เพราะอะไรจึงเลือกมาดูสุนัขที่นี่
ความจริงดูมาหลายที่แล้ว แต่เห็นว่าที่นี่มันอยู่ใกล้บ้าน เลยแวะเข้ามาดูก่อน

4.คิดมาหรือเปล่าว่าจะเลือกสุนัขเพศใด
คิดไว้ว่าจะเอาตัวเมีย เพราะที่บ้านก็เป็นตัวเมีย จะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน

5.คิดอย่างไรกับปัญหาสุนัขจรจัด เพราะอะไรจึงมีสุนัขจรจัด
คิดว่ามันเป็นปัญหาสังคมที่ค่อนข้างหนักเลยทีเดียว สาเหตุน่าจะมาจากการที่เจ้าของขาดความรับผิดชอบ เลี้ยงตามแฟชั่น เมื่อเบื่อก็ทิ้งขว้างเหมือนไม่ใช่สุนัข หากเราคิดจะเลี้ยงสุนัขแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบเลี้ยงมันจนตาย อย่างสุนัขที่อยู่ที่บ้าน พอแก่ก็มีโรคประจำตัวเราก็จะคอยพาไปรักษาอยู่เสมอ


            เราขอบคุณที่สละเวลามาตอบคำถาม แล้วเดินออกมา แม่อ้อตามมาทางฉัน พี่แปม และคนอื่นๆที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์และบอกว่า เห็นข้อผิดพลาดอะไรจากตัวเราบ้างจากการสัมภาษณ์นี้ ฉันบอกว่าไม่มีคำถามสำหรับถาม ณ ตอนนั้นที่สัมภาษณ์เลย ฉันนึกคำถามไม่ค่อยออก เลยทำให้เกิดความเงียบขึ้นมาเป็นช่วงๆ จึงทำให้พ่อๆแม่ๆที่ดูเหมือนจะมีคำถามมากมายอดที่จะถามบ้างไม่ได้ แม่อ้อบอกว่าเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างในอนาคต อย่างการที่ได้สัมภาษณ์คุณน้าและคุณยายนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้ไปสัมภาษณ์ทันทีที่มาถึง ดังนั้นเราต้องเตรียมพร้อมเอาไว้เสมอ อย่างในกรณีนี้คือเราจะต้องนึกคำถามที่อยากจะถามไว้ล่วงหน้าแล้ว อาจจะนึกไว้เล่นๆ เผื่อว่าจะได้เอามาใช้จริงๆเช่นวันนี้ เราทุกคนพยักหน้ารับ สักพักพวกเราก็เห็นเจ้าหน้าที่เดินออกมาคนหนึ่งพอดี แม่อ้อพยักหน้า พวกเราเลยเดินเข้าไปหา บอกว่ากำลังศึกษาเรื่องของสุนัขจรจัดอยู่และขออนุญาตถามคำถาม พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าเป็นเรื่องทั่วไปสามารถถามได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของสถิติหรือเรื่องจำพวกนี้ พี่เค้าไม่สามารถตอบให้ได้ เพราะเรื่องแบบนี้ต้องไปถามจากอาจารย์ที่คอยดูแลเรื่องนี้อยู่แทน เราตอบตกลง

1.ทำงานมากี่ปีแล้ว แล้วทำไมถึงทำงานที่นี่
ทำงานมาปีเดียว ที่มาทำงานที่นี่ ส่วนหนึ่งเพราะมีคนแนะนำมา และก็รักสุนัขด้วย

2.ทำหน้าที่อะไรบ้าง
อาบน้ำให้สุนัขสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ทำความสะอาดกรงทุกวัน คอยเติมน้ำและอาหาร (หากมีอาหารอยู่ในรางตลอด สุนัขจะกินทีละนิด แต่ถ้าให้เป็นเวลาสุนัขจะมีความหิว และอาจทะเลาะกันเพื่อแย่งอาหาร) แล้วก็จะปล่อยสุนัขออกมาเดินเล่นยืดเส้นยืดสายที่สนามหญ้าตรงกลางวงล้อมในช่วงเช้าเพื่อทำความสะอาดกรง

3.ขั้นตอนการนำสุนัขมาทำอย่างไร
บ้านรักหมา จะรับสุนัขจากเฉพาะสุนัขที่อยู่ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเท่านั้น เมื่อเจอสุนัขขั้นแรกก็ต้องดูก่อนว่ามันเชื่องหรือไม่ ถ้าเชื่องก็พาขึ้นรถมาที่นี่ได้เลย แต่ถ้าไม่เชื่อง ก้าวร้าวหรือหวาดระแวง ก็จะต้องวางยา โดยจะใส่ยานอนหลับลงในอาหารแล้วให้มันกิน จากนั้นก็จะมัดปาก จับมาที่นี่ ฝังชิพเพื่อสำหรับการติดตาม ทำการฉีดยาป้องกันโรคต่างๆ(ต่อให้สุนัขฉีดยาไปแล้ว แต่เราก็ไม่มีทางรู้ ดังนั้นได้สุนัขมาใหม่ก็ฉีดยาให้หมด เพราะการฉีดยาซ้ำไม่ทำให้เกิดผลอะไร)และทำหมัน หากสุนัขมีบาดแผล เช่นตาบอด ฯลฯ ก็ทำการรักษาเลยในช่วงนี้ จากนั้นก็เอาไปไว้ในกรงหนึ่งก่อนเพื่อดูว่ามันมีท่าทางอย่างไร จากนั้นก็เอาไปอยู่รวมห้องกับสุนัขตัวอื่นๆ โดยจะต้องดูให้สุนัขแต่ละตัวถูกกัน ในสังคมสุนัขจะมีจ่าฝูง ตัวที่เป็นใหญ่อยู่แล้ว หากสุนัขใหม่ยอมเคารพก็จะไม่มีเรื่องอะไร แต่สุนัขใหม่ไม่ยอม อาจเกิดการกัดกัน ในตอนแรกอาจจะปล่อยให้มันกัดกันไปจนรู้ผลแพ้ชนะ ตัวที่แพ้ก็จะเคารพตัวที่ชนะ แต่ถ้ายังกัดกันไม่มีตัวไหนยอมก็ต้องแยกห้องกันอยู่ ต่อมาก็จะทำการฝึกสุนัขให้มีนิสัยเชื่อง และสอนพื้นฐานเช่น นั่ง หมอบ สวัสดี เป็นต้น เมื่อผ่านการฝึกมาแล้ว ก็จะย้ายไปอยู่ในเรือนรอเจ้าของนั่นเอง เพื่อรอคนที่ต้องการมารับไปเลี้ยงต่อไป

4.สุนัขที่ได้มาส่วนใหญ่มีลักษณะอย่างไร
ส่วนใหญ่สุนัขที่มาก็จะมีอายุ 5 ปีขึ้นไป เพราะแก่แล้ว มีโรคต่างๆไม่อยากพาไปรักษาก็นำมาทิ้ง สุนัขที่มาส่วนใหญ่ก็มักจะมีลักษณะบาดเจ็บ เช่น ขาหัก ตาบอด เป็นต้น หรือบางทีก็จะมีเป็นสุนัขแม่ลูกอ่อน ส่วนเพศของสุนัขนั้นก็มีปะปนกันไป

5.ส่วนใหญ่คนจะรับสุนัขลักษณะใดไปเลี้ยง
ขึ้นอยู่กับความต้องการของตัวเจ้าของเอง หากต้องการสุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่น ก็มักจะเลือกสุนัขที่มีนิสัยที่เชื่อง ขี้เล่น แต่ถ้าหากต้องการนำไปเลี้ยงให้สุนัขเฝ้าบ้าน ก็มักจะเอาสุนัขที่เห่าเก่งและค่อนข้างดุ นิสัยนี้เหล่านี้มักจะเป็นนิสัยของสุนัขตัวผู้

6.อุปสรรคของการทำงานตอนนี้มีอะไรบ้าง
ตอนนี้เรื่องค่าใช้จ่ายอาหารไม่มีปัญหา เพราะตอนนี้ทางเพ็ทดิกรีได้สนับสนุนอาหารให้ฟรีอยู่ ปัญหาที่มีอยู่น่าจะเป็นเรื่องของการที่ไม่ค่อยมีคนรับสุนัขที่อายุมากไปเลี้ยง เนื่องจากอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษา สุนัขที่เข้ามาเพิ่มก็มักจะมีแต่สุนัขที่อายุมากแล้วทั้งนั้นและเรื่องของค่าใช้จ่ายยาและวัคซีนต่างๆ

7.สุนัขที่รับมาแล้วก้าวร้าวหรือหวาดระแวง มีวิธีจัดการอย่างไรบ้างให้มันเชื่อง
ส่วนใหญ่แล้วสุนัขที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวนั้น หากมันก้าวร้าวอยู่แล้ว ยากที่จะทำให้มันเชื่องลง แต่กระนั้นวิธีที่พอจะทำได้ก็คือ ให้เวลากับมัน เอาอาหารไปให้ ถ้ามันยอมก็จะค่อยๆเชื่องขึ้นเรื่อยๆ

นี่คือข้อมูลที่พวกเราได้มาจากเจ้าหน้าที่ 2 คนที่ทำงานดูแลสุนัขจรจัดเหล่านี้ คนหนึ่งทำงานมา 1 ปี ส่วนอีกคนทำมา 8 ปีแล้ว เมื่อสอบถามมาก็พบว่าเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ต่างก็เลี้ยงสุนัขไว้ที่บ้าน เลี้ยงไว้ให้เฝ้าบ้าน เราเดินกลับกลับมาเล่าให้แม่อ้อฟัง แม่อ้อถามว่าได้แนะนำตัวเองหรือยังว่าเป็นใคร มาจากโรงเรียนอะไร พวกเราสะดุ้ง ลืมแนะนำตัวเอง ไปถามเขาเสียเยอะแต่ไม่แนะนำตัวเองก่อน อย่างนี้เขาจะอึดอัดสงสัยไหมนี่ พวกเราเลยรีบเดินกลับไปหาพี่เจ้าหน้าที่อีกครั้งพร้อมกับบอกว่าพวกเรามาจากโรงเรียนรุ่งอรุณ ต้องทำโครงงานกลุ่มเรื่องสุนัขจรจัด และแนะนำตัวเองแต่ละคนว่าใครชื่ออะไรบ้าง แม่อ้อถามเจ้าหน้าที่ว่าตอนที่พวกเราสัมภาษณ์อึดอัดไหม พี่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไม่ โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
การที่ไปสัมภาษณ์ใครสักคนนั้น อย่างแรกจะต้องเข้าไปแนะนำตัวเอง และบอกว่ากำลังทำโครงงานอยู่ก่อน จากนั้นก็ต้องถามว่าเขาติดธุระอยู่หรือไม่ หากเขาไม่รีบก็ค่อยเริ่มการสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ผู้คนทั่วไปนั้นแม่อ้อบอกว่าส่วนใหญ่แล้วข้อมูลสำคัญๆจะได้มาจากข้อมูลที่ผู้ถูกสัมภาษณ์พูดขึ้นมาเอง ดังนั้นบางครั้งถ้าผู้ถูกสัมภาษณ์มีพูดไปถึงเรื่องอื่นๆด้วย เราก็สามารถเก็บข้อมูลนั้นไว้ด้วย เผื่อว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้วก็ต้องขอบคุณคนที่เราไปสัมภาษณ์ที่สละเวลามาช่วยตอบคำถามของเรา
            
คุณยายและคุณน้าที่พวกเราสัมภาษณ์ไปเมื่อครู่ตกลงใจรับสุนัขตัวหนึ่ง มีสีนวลๆขนยาว มีลิ้นสีด่างและมีชื่อว่าสโนว์ เมื่อต้องการจะรับสุนัขไปเลี้ยง จะต้องเขียนที่อยู่และเบอร์ติดต่อไว้ให้เจ้าหน้าที่ด้วย เผื่อว่าในอนาคตเจ้าหน้าที่ต้องการจะติดต่อไปเพื่อถามทุกข์สุขของสุนัข ในเมื่อเจ้าสโนว์กำลังจะได้ไปบ้านใหม่ พวกเราจึงขออนุญาตเก็บภาพไว้ด้วย เมื่อเจ้าหน้าที่ผูกสายจูงให้สโนว์ มันดูดีใจมาก กระดิกหางไม่หยุด พวกเราเก็บภาพ จนรถคันนั้นแล่นหายไป ฉันรู้สึกตื้นตันและดีใจไปกับสโนว์ด้วย เพราะในที่สุดก็จะได้ไปอยู่บ้านใหม่ที่สบายขึ้น มีเพื่อนและเจ้านายที่จะเลี้ยงมันอย่างดี เจ้าหน้าที่
ให้เบอร์ติดต่ออาจารย์เอกมา และบอกว่าอาจารย์เอกคือคนที่คอยดูแลโครงการนี้ สามารถโทรสัมภาษณ์อาจารย์ได้ พวกเรากล่าวขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่ที่ให้พวกเราเข้ามาศึกษาการดูแลสุนัขจรจัดของที่นี่ ก่อนจะลาออกมาเพื่อพักรับประทานอาหารกลางวัน แม่อ้อบอกว่าเดี๋ยวลองโทรหาอาจารย์ดู ถ้าโชคดีก็อาจจะได้ไปหาอาจารย์และสัมภาษณ์ รวมทั้งถามถึงขั้นตอนการเขียนหนังสือขออนุญาต เพื่อเข้าไปอ่านงานวิจัยของมหาวิทยาลัยนี้ด้วย
            
            ก่อนรับประทานอาหาร พี่แปมและฉัน(ซึ่งไปอยู่เป็นเพื่อน)ก็โทรไปหาอาจารย์ เมื่อพี่แปมวางสายก็บอกฉันว่าอาจารย์บอกว่าอีก 15 นาทีอาจารย์จะเดินมาหาที่โรงอาหารนี้เลย (เพราะพวกเรานั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โรงอาหารของคณะสัตวแพทย์นั่นเอง) พวกเรารีบกลับมาที่โต๊ะแล้วรีบช่วยกันนึกคำถามสำหรับจะนำไปสัมภาษณ์อาจารย์ ด้วยเวลาเพียงน้อยนิด พวกเรารีบเค้นความคิดออกมา นึกถึงข้อมูลที่เราอยากจะได้จากอาจารย์ โดยเฉพาะข้อมูลที่พี่เจ้าหน้าที่ตอบไม่ได้ เมื่อได้คำถามมาประมาณ 10 ข้อ พวกเราก็เริ่มต้นรับประทานอาหาร โดยที่สายตาก็คอยมองไปทางบันได้ขึ้นมายังโรงอาหาร เมื่อเห็นอาจารย์มายืนรอที่บันได พวกเราก็รีบเดินออกไปหาอาจารย์ พวกเรารีบสวัสดีอาจารย์ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะหน้าบันไดนั้นเอง และเริ่มต้นทำการสัมภาษณ์อาจารย์


1.ความเป็นมาของโครงการ
            เริ่มโครงการ เมื่อปีพ.ศ.2050 โดยอ.ปิยสกล เพราะว่าหมาในมหาวิทยาลัยเยอะเเละเริ่มสร้างผลกระทบเช่นเเย่งอาหาร วิ่งตัดหน้ารถ ฯลฯ การริเริ่มโครงการนี้ขึ้นมา ทำให้เกิดสองมุมมองทั้งเห็นด้วยเเละคัดค้านเพราะเห็นว่าเป็นการจำกัดบริเวณของหมา ทำให้เกิดเรื่องเพราะยังไม่มีการทำเรื่องอย่างเป็นทางการ หรือบางครั้งนักศึกษาก็เข้าไปอุ้มหมาออกมาเองเลยเพราะไม่เห็นด้วยกับการทำเเบบนี้

2.เป้าหมายสูงสุดของโครงการคืออะไร
            เป้าหมายสูงสุดของโครงการ อยากเห็นหมามีบ้าน พยายามโฆษณาสุนัขเเต่ละตัว ซึ่งปัญหาก็คือมีสุนัขบางตัวแก่เกินไป ไม่มีคนรับไปเลี้ยง โครงการที่คิดวางเเผนไว้ หาพ่อเเม่บุญธรรมให้สุนัข เเบบที่อเล็กกับเต้ย(นักเเสดง)ทำกับช้าง สุนัขที่เหลืออยู่ตอนนี้ คือสุนัขที่เเก่ ดุ มีพฤติกรรมไม่ค่อยดี เช่น ขุดเเละรื้อของ

3.อุปสรรคการทำงาน
            คนมีความคิดเห็นที่ขัดเเย้งกัน(ดีขึ้นมาบ้างเเล้ว) มีคนมาบริจาคข้าวเเละของอื่นๆให้สุนัขที่นี่ เเต่ก็มีคนมาเเอบปล่อยสุนัขของตัวเองไว้เเถวๆนี้ให้โครงการเลี้ยง พยายามเเก้โดยติดตั้งกล้องวงจรปิดในบริเวณรอบๆ หลังๆเริ่มไม่ค่อยมีคนมาบริจาคของให้ บริษัทที่สนับสนุนค่าใช้จ่ายอาหารสุนัขเข้ามาตรวจคุณภาพมาตรฐานของที่นี่ เเล้วค่อยพิจารณาว่าจะสนับสนุนเรื่องอาหารอยู่หรือไม่ ถ้าได้ก็จะให้เป็นรายปี(ปัจจุบันยังไม่มีคนเข้ามาตรวจ) ในเวลา 1เดือน ใช้อาหารสุนัข 100 กิโลกรัม ปีละ 365,000 บาท ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ยา อาหาร วัคซีน รักษา คนงาน ซ่อมกรง เป็นต้น ปัจจุบันมีจิตอาสาเข้ามาช่วยเช่นทำความสะอาดกรง พาหมาไปเดินเล่นผ่อนคลาย ทำรั้วเหล็กลงดิน ตัดเเต่งต้นไม้ ฯลฯ

4.การนำสุนัขมาที่โครงการมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
            ในการจับสุนัขมา ใช้วิธีเป่าลูกดอกยาสลบ เเต่ปัจจุบันเลิกเเล้วเพราะอาจพลาดเป้าได้ ประกอบกับที่มีคนที่เห็นว่าการใช้ปืนสำหรับยิงยาสสบมันดูรุนเเรงไป ปัจจุบันจึงใช้วิธีผสมยาในอาหารเเล้วค่อยเคลื่อนย้ายสัตว์ การฝังชิพในสุนัขของโครงการ ใส่เข้าไปประมาณข้อไหล่ เมื่อสเเกนจะมีรหัสของเเต่ละตัว เข้าฐานข้อมูลได้เเละสามารถหาสุนัขเจอ ถ้าถูกทิ้งหลังจากมีบ้าน สามารถดูประวัติการรักษาได้ ไม่สามารถโกงเพื่อรับส่วนลดในการรักษาได้ (สุนัขในโครงการจะได้รับส่วนลดในการรักษา)

5.คิดว่าสาเหตุของการเกิดสุนัขจรจัดคืออะไร
            คนนี่เเหละคือเหตุของสุนัขจรจัด เป็นโรคไม่สบาย เอาไปปล่อย เลี้ยงไม่สุดความสามารถ ตอนนี้ค่าปรับพระราชบัญญัติกฏหมายเกี่ยวกับสุนัขประมาณ 40,000 บาท

6.ในฐาะนะคนทำงานเกี่ยวกับสุนัข อยากจะบอกอะไรกับคนในสังคม
             ถามตัวเองว่ารับผิดชอบได้หรือยังเเล้วเลี้ยงไหวหรือไม่ ตอนนี้เรากำลังเเก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เเต่คนก็ยังไม่หยุดทิ้งสุนัข การให้อาหารสุนัขในพื้นที่สาธารณะถือเป็นการเพิ่จำนวนสุนัขจรจัดในบริเวณนั้นมากขึ้น เพราะสุนัขก็จะเข้ามาเยอะขึ้น บางคนก็อ้างอิงคำพูดของในหลวงว่า ท่านก็เลี้ยงหมาจรจัดเเต่ท่านเอาเข้าไปเลี้ยงในวัง ไม่ได้ให้อาหารตามทางเเบบนี้ ถ้าเราประมาณความสามารถการเลี้ยงของเราได้ สุนัขจรจัดจะลดลง ความผูกพันสำคัญในการที่จะเลี้ยงสุนัขสักตัว เช่น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเอาถังน้ำมาเเลกสุนัข เพื่อเอาไปรับประทาน ซึ่งนั่นคือการเลี้ยงเพื่อการค้าขาย ไม่ได้มีความผูกพันอะไรทั้งนั้น

เมื่อหมดคำถามแล้ว พวกเราก็กล่าวขอบคุณอาจารย์ที่มาให้ข้อมูลพวกเราในเวลา 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา ฉันรู้สึกว่าพวกเราโชคดีมากๆที่อาจารย์นั้นใจดี และเดินมาหาพวกเราถึงที่โรงอาหารเลยทีเดียว เป็นความรู้สึกประทับใจเล็กๆน้อยๆ ขอขอบคุณอาจารย์เอกอีกครั้งนะคะ

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559

แบบสอบถามสัมภาษณ์

          แบบสอบถามสัมภาษณ์
(สัมภาษณ์คนทั่วไปเกี่ยวกับสุนัขจรจัด)
-ชอบสุนัขหรือไม่
-เลี้ยงสุนัขไหม
-คิดอย่างไรกับสุนัขจรจัด
-สุนัขจรจัดส่งผลกระทบต่อคุณอย่างไรบ้าง
-รู้สึกว่าสุนัขจรจัดมีเยอะไหม
-ถ้าให้เลือกซื้อสุนัขกับรับเลี้ยงสุนัขจะเลือกอะไร
-คิดว่าสุนัขจรจัดเป็นปัญหาสังคมไหม
-คิดว่าสาเหตุของการมีสุนัขจรจัดคืออะไร
-มีใครมาแก้ปัญหาสุนัขจรจัดบ้างหรือไม่
-คุณปฏิบัติอย่างไรต่อสุนัขจรจัดเหล่านั้นบ้าง
-อยากเเก้ปัญหาสุนัขจรจัดตรงจุดไหน
-ต้องการบอกอะไรกับสังคมเกี่ยวกับสุนัขจรจัด

(สัมภาษณ์คนจรจัด)
-ในหนึ่งวันทำอะไรบ้าง
-ดูแลตัวเองอย่างไร
-คิดอย่างไรกับสุนัขจรจัด
                                                                        ฯลฯ


วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

เรียนทำวิดิโอ

เรียนทำวิดิโอ
18/9/59
            วันนี้พวกเรานัดกันมาที่บ้านพี่แปม เพื่อเรียนการทำวิดิโอ เนื่องจากพี่ซีและข้าวปุ้นอยากจะศึกษาทักษะทางด้านนี้เพิ่มเติม พ่อป๋อจึงติดต่อไปยังอาอั้น ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการถ่ายทำและตัดต่อวิดิโอให้กับหนังสือพิมพ์ Bangkok post เมื่อมากันครบทุกคน อาอั้นจึงเริ่มสอนเทคนิคต่างๆของการถ่ายวิดิโอ
            
            ตามปกติแล้วเมื่อเราถ่ายสัตว์(ที่มีขนาดเล็กกว่าเรา) มักจะได้ภาพที่มองเห็นจากด้านบนหรือเป็นภาพมุมกด หากไม่อยากได้ภาพมุมกดอย่างเดียว เมื่อถ่ายสัตว์ชนิดใดก็ตาม กล้องควรอยู่ระดับเดียวกับหัวของสัตว์ สามารถใช้ขาตั้งกล้องหรออาจใช้กล้องโกโปรใส่ไว้กับหัวสัตว์ เพื่อให้เห็นมุมมองของสัตว์และจะสามารถเห็นได้ด้วยว่าในแต่ละวันมันใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง
            
              ในการถ่ายวิดิโอนั้น ไม่ควร Pan (ส่ายกล้อง) หรือซูมภาพ เพราะเหล่านี้สามารถทำได้ในช่วงตัดต่อ สำหรับการถ่ายวิดิโอในจุดหนึ่งหรือสถานที่หนึ่งควรถ่ายอย่างน้อย 10 วินาที โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงด้วยกัน (เรียกว่า Footage) เพื่อให้ตัดต่อได้ง่ายและยังสามารถใส่ effect ในช่วงท้าย โดยเฉลี่ยแล้วภาพแต่ละช่วงจะมีความยาวประมาณ 3 วินาที เช่นเมื่อเราไปถ่ายที่ห้องเย็บผ้า ภาพ 3 ช่วงได้แก่
-wide                คือ ภาพที่เห็นภาพรวมๆทั้งหมด เห็นห้องเย็บผ้าโดยรวม เห็นว่าอุปกรณ์อะไรอยู่ที่ใดบ้าง
-medium           คือ ภาพที่เห็นอยู่แค่จำนวนหนึ่งไม่ใช้ทั้งหมด เห็นแค่อุปกรณ์ที่อยู่บริเวณนี้
-close up           คือ ภาพที่เห็นใกล้ๆเจาะจงเห็นแค่สิ่งนี้ เห็นอุปกรณ์แค่อย่างเดียว

    ในเรื่องของเสียงนั้นก็สำคัญมาก เสียงสัมภาษณ์ต้องเก็บให้ดี พยายามสัมภาษณ์ในที่ไม่มีเสียงรบกวน เพื่อให้วิดิโอออกมาฟังง่าย  สามารถใส่เสียงเพลงประกอบได้ ในวิดิโอหนึ่งควรมีเพลงแค่เพลงเดียว จากที่สังเกตจากวิดิโอตัวอย่างที่อาอั้นเปิดให้ดู ดนตรีเป็นดนตรีที่ค่อนข้างช้า เมื่อมีเสียงสัมภาษณ์เข้ามา ดนตรีจะเบาลงเล็กน้อยเพื่อให้คนดูมุ่งความสนใจไปที่เสียงสัมภาษณ์ไม่ใช่เสียงดนตรี เมื่อมีเสียงสัมภาษณ์ก็สามารถตัดภาพไปดูภาพอื่นๆที่เกี่ยวกับเนื้อหานั้นๆได้ เพราะหากค้างไว้ที่หน้าผู้ถูกสัมภาษณ์คนดูจะเบื่อ ส่วนของการสัมภาษณ์จะต้องเตรียมคำถามที่อยากรู้เตรียมไว้ก่อนแล้ว อาจใช้วิธีบอกผู้ถูกสัมภาษณ์ว่าให้พูดทวนคำถามด้วย หากในวิดิโอไม่ต้องการให้มีเสียงของคนสัมภาษณ์ เช่น
คำถาม   : เช้าวันนี้กินอะไร (ในวิดิโอจะไม่ได้ยินคำถาม)
คำตอบ   : เช้าวันนี้กินข้าวผัด (คนดูวิดิโอจะไม่งง)
หรือถ้าเป็นการสัมภาษณ์ความเห็นจากคนจำนวนมาก สามารถใช้วิธีเขียนตัวหนังสือกำกับไว้ และตัดเอามาแต่คำตอบของแต่ละคน เพื่อจะได้ไม่ยืดเยื้อเสียเวลา ขึ้นอยู่กับความต้องการ

           
               โดยปกติแล้ววิดิโอที่มีความยาว 3 นาทีจะเป็นความยาวที่กำลังดี เพราะคนดูจะไม่เบื่อ วิดิโอควรจะมี shotเปิดที่น่าสนใจ เพื่อให้คนดูเกิดความสนใจที่จะดูต่อ เช่นมีภาพที่เป็นจุดเด่นของเรื่องขึ้นมาเป็นช่วงแรกสุด ก่อนจะนำไปสู่การสัมภาษณ์ ขึ้นอยู่กับการใช้งาน สำหรับวิดิโอสุนัขจรจัดของเราอยากให้เป็นวิดิโอในเชิงบวก อาอั้นจึงแนะนำว่าควรจะมีความหักล้างกันเพื่อให้เกิดความคิดเชิงบวก เช่นสัมภาษณ์คนหลายๆประเภท คนที่ชอบ/ไม่ชอบสุนัขจรจัด หรืออาจเปรียบเทียบกับคนจรจัด เพื่อให้เห็นว่าคนยังสามารถสื่อสารกันได้ ในขณะที่สุนัขพูดไม่ได้ จึงต้องการให้มีคนช่วย แต่ก็จะต้องมีตัวนังสือขึ้นมาว่าไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกใคร เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย
ข้อมูลสุนัขจรจัด
สุนัขจรจัดแบ่งออกเป็นสองประเภท
1.สุนัขชุมชน คือสุนัขที่มีคนมีคอยเอาข้าวน้ำมาให้กิน บางทีก็ช่วยพาไปโรงพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย แต่ก็ไม่ได้ให้เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน และไม่ได้อ้างสิทธิ์ว่าเป็นเจ้าของของสุนัขตัวนี้
2.สุนัขจรจัด คือสุนัขที่ไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีคนให้อาหาร ต้องหาอาหารเอง เช่น คุ้ยขยะเป็นต้น

จำนวนสุนัขจรจัดในกรุงเทพมหานครโดยประมาณ
          ในปัจจุบัน กรุงเทพมหานครมีสุนัขจรจัดอยู่ประมาณ 100,000 ตัว โดยในกรุงเทพมหานครมีศูนย์พักพิงเพียงแห่งเดียวคือเขตประเวศ ซึี่งสามารถรับรองสุนัขจรจัดได้ประมาณ 1,000 ตัวเท่านั้น จึงทำให้ต้องหาศูนย์พักพิงสุนัขจรจัดในพื้นที่อื่น เพื่อนำสุนัขจรจัดที่จับมา ไปดูเเลในรูปแบบเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ กทม.จึงสร้างศูนย์พักพิงสุนัขจรจัดขึ้นที่อ.ทัพพัน จ.อุทัยธานี สำหรับรับรองสุนัขจรจัดตั้งเเต่ปีพ.ศ.2545 เป็นต้นมา

สาเหตุการเกิดสุนัขจรจัด
1.การขาดความรับผิดชอบของผู้เพาะพันธุ์และสมาคมที่เกี่ยวข้องกับพันธุ์สัตว์
2.การขาดความรับผิดชอบของสัตวแพทย์
3.การขาดความรับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐบาล
4.อุบัติเหตุ เช่นพลัดหลงออกจากบ้านแล้วกลับบ้านไม่ถูก รวมไปถึงคนที่เลี้ยงสุนัขแบบปล่อย เจ้าของเพียงแต่ให้ข้าว ไม่ได้สนใจว่าสุนัขของตนจะไปที่ไหน ทำอะไร
5.เจ้าของทิ้ง เนื่องจากสาเหตุปัจจัยต่างๆ เช่น
-สุนัขไม่สวยน่ารักอย่างที่นึก ต่างจากที่คิดไว้เมื่อตอนซื้อมาขณะเป็นลูกหมา
-สุนัขเจ็บป่วย เบื่อในการรักษา ค่ารักษา และภาระที่เพิ่มขึ้น
-นิสัยของสุนัขไม่เหมาะสม เช่นดุร้ายหรือขี้ระแวง
-ไม่ทำหมัน สุนัขในบ้านตั้งท้องออกลูกเพิ่ม ทำให้เลี้ยงไม่ไหว

ผลกระทบ
1.ผลกระทบทางสาธารณสุข สุนัขจรจัดเป็นพาหะสำคัญของโรคพิษสุนัขบ้า และโรคที่สัตว์แพร่ใส่คนอื่นๆ ซึ่งคร่าชีวิตของคนเป็นประจำทุกปี จนจัดว่าในกรุงเทพฯเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในโลกที่มีสถิติของโรคพิษสุนัขบ้าสูงอันดับต้นๆ รวมถึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน
2.ผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อม
-ภาวะทางเสียง เช่นเห่า/หอน สร้างความรำคาญ
-สร้างความสกปรก เช่น อุจจาระและการคุ้ยขยะ
-ภาวะทางสายตา เช่น สุนัขจรจัดเจ็บป่วย ทรมาน ทรุดโทรม
3.ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เช่นรัฐบาลต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อจัดการกับสุนัขจรจัดเป็นจำนวนมาก ประเทศไทยต้องเสียเงินตราต่างประเทศไปเพื่อนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทั้งในคนและสุนัข รวมถึงกรณีที่ถูกสุนัขจรจัดกัดด้วย
4.ผลกระทบต่อสุนัขจรจัด
-เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บบนถนน
-เป็นโรคต่างๆ
-เกิดภาวะขาดอาหาร ต้องต่อสู้แย่งชิงอาหาร
-มีนิสัยดุร้ายและหวาดระแวง
-ถูกกำจัดโดยวิธีการต่างๆ เช่น ยาเบื่อ ฉีดยาให้ตาย
-ถูกคนขับไล่ รังแก
-อาจถูกจับไปเป็นอาหารของคนที่กินเนื้อสุนัข
5.ต่อคนในสังคม

-เป็นพาหะสำคัญนำโรคพิษสุนัขบ้า และโรคสัตว์ติดคนอื่น ๆ
          โดยการกัดหรือติดเชื้อที่บาดเเผลการไดรับอันตรายจากสุนัขกัดและโรคพิษสุนัขบาเปนปญหาทางสาธารณสุขของประชากรที่ อาศัยอยูในกรุงเทพมหานคร โดยปญหาทั้งสองประการดังกลาวเปนปญหาสําคัญที่ไดรับความ สนใจอยางมาก เนื่องจากมีผลกระทบตอเนื่องทางสุขภาพและทางการเงินจากการใชวัคซีน และการรักษาพยาบาล จนถึงปจจุบันไมมีวิธีการควบคุมสุนัขจรจัดในประเทศไทยที่ได้ผลจริงจัง

-รบกวนและสร้างความเสียหายต่อปศุสัตว์ สร้างความไม่เรียบร้อยในสังคม
            สงผลกระทบตอสวัสดิภาพและการใชชีวิตของประชาชนท่ีอยูรวมกันในสังคม ท้ังนี้ เพราะสุนัขจรจัดไดกอใหเกิด
ปญหาที่มีผลกระทบตอคุณภาพชีวิตของคนในสังคมทั้งทางดาน เศรษฐกิจ สังคม สภาพแวดลอม สาธารณสุข และสุขภาพอนามัย ดังน้ันปญหาสุนัขจรจัดใน กรุงเทพมหานครจึงไมไดจํากัดขอบเขตของผลกระทบเพียงแคเปน ปญหาสุนัขเทานั้น แตปญหา สุนัขจรจัดไดขยายตัวขึ้นจนกลายเปน ปญหาสังคมดวย

          ถึงแมจะมีขอมูลที่ชัดเจนถึงประโยชนในการควบคุมสุนัขจรจัดที่มีผลตอการควบคุมโรคพิษสุนัขบา แตนโยบายในการ กําจัดสุนัขจรจัดยังไมเปนที่ยอมรับจากสาธารณะชนอยางที่ควรจะเปน ทั้งนี้ เพราะอิทธิพลของศาสนาและคานิยมทางสังคมที่มีตอนโยบายการกําจัดสุนัขจรจัดยังมีอยูสูงมาก
          วิธีการควบคุมสุนัขจรจัดที่ไดรับการยอมรับจากสาธารณะชน ก็คือ การสรางสถานที่เลี้ยงสุนัข จรจัดแตวิธีการดังกลาวตองใชงบประมาณคอนขางสูงและใชพื้นที่ขนาดใหญ และถึงแมวิธีการนี้ จะสามารถลดจํานวนสุนัขจรจัดไดในอนาคตแตก็จะไมชวยหรือชวยนอยมากตอการขจัดปญหา โรคพิษสุนัขบา ดังนั้น การจัดการปญหาสุนัขจรจัดจะตองเปนการจัดการที่ไดผลตอการลดจํานวน ของสุนัขและลดอัตราการเปนพาหะโรคพิษสุนัขบาในสุนัขจรจัดดวย
          กรุงเทพมหานครจึงไมไดจํากัดขอบเขตของผลกระทบเพียงแคเปน ปญหาสุนัขเทานั้น แตปญหา สุนัขจรจัดไดขยายตัวขึ้นจนกลายเปน ปญหาสังคมดวย




สามองค์กรสำคัญที่มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ได้แก่..
-ภาครัฐ
-สัตวแพทย์
-ประชาชน

การแก้ปัญหาที่มีอยู่แล้วในตอนนี้
1.การฉีดยาคุมกำเนิดหรือทำหมัน
2.จับมารวมกันในสถานดูแล
3.กำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็น วางยาเบื่อ ฉีดยาให้ตาย ฯลฯ
จากที่ได้รวบรวมมามีการเสนอแนะวิธีการแก้ปัญหาสุนัขจรจัดไว้ดังนี้
1.การกรองสุนัขจรจัดออกจากสุนัขที่มีเจ้าของให้ชัดเจน โดยออกกฎหมายเจ้าของห้ามปล่อยสุนัขของตนออกจากพื้นที่ส่วนตัว (นั่นก็คืออยู่ในบ้านเท่านั้น) เด็ดขาด หากสุนัขสร้างความเสียหายแก่ผู้อื่นไม่ว่าจะเป็น ไปกัด ขโมยของ เจ้าของจะต้องเป็นคนรับผิดชอบทั้งสิ้น ถ้าจำเป็นจะต้องนำสุนัขออกนอกพื้นที่ส่วนตัว ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เช่น มีสายจูงหรือกรงเป็นต้น
ข้อดีของวิธีนี้
-ช่วยลดอุบัติเหตุ ในกรณีที่สุนัขวิ่งตัดหน้ารถหรือไล่เห่า
-ช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า
-ลดปัญหาขับถ่ายในที่ที่ไม่เหมาะสม
-ป้องกันสุนัขดุร้ายทำร้ายคน

-ลดการขยายพันธุ์ของสุนัข ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสุนัขจรจัด

2.ให้เจ้าของนำสุนัขที่เลี้ยงหรือกำลังจะเลี้ยงไปทำการสักเบอร์หู พร้อมกับขึ้นทะเบียนและทำประวัติให้เรียบร้อย ซึ่งการขึ้นทะเบียนสุนัขยังเป็นการตรวจนับจำนวนประชากรสุนัขไปในตัวด้วย ยังสามารถควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าโรคอื่นๆได้ง่ายขึ้น โดยให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบตรวจเช็คประวัติของสุนัข ว่าสุนัขตัวใดยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าบ้าง เพื่อติดต่อไปยังเจ้าของให้นำสุนัขมาฉีดวัคซีนต่อไป จุดประสงค์ของการสักเบอร์หูคือเพื่อให้ทราบว่าสุนัขที่มีเจ้าของอยู่ที่ไหนและใครเป็นเจ้าของเท่านั้น
ข้อดีของวิธีนี้
-มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการฝังชิพซึ่งมีค่าใช้จ่ายแพงกว่ามาก

3.เมื่อคัดแยกสุนัขจรจัดออกมาจากสุนัขที่มีเจ้าของแล้ว ให้เจ้าหน้าที่มาตามจับสุนัขจรจัดทั้งหมดไปอยู่รวมกัน โดยแยกเพศผู้และเพศเมียออกจากกัน เพื่อป้องกันออกลูกเพิ่มจำนวนอีก ซึ่งวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องทำหมันแต่อย่างใด เพราะอย่างไรก็ตาม นัขจะถูกแยกเพศกันอยู่แล้ว จากนั้นก็เลี้ยงสุนัขจรจัดทั้งหมด จนกว่าจะสิ้นอายุขัย
ข้อดีของวิธีนี้
-ไม่เป็นการทรมานสุนัข
-สุนัขจะตายตามอายุขัย
-จำนวนสุนัขจะไม่เพิ่มขึ้นจากเดิม

4.จัดให้มีสถานที่และเจ้าหน้าที่สำหรับทำโครงการ หาบ้านใหม่ให้สุนัข ทุกวันนี้ก็มีโครงการเหล่านี้อยู่บ้างแล้ว เพียงแต่ควรส่งเสริมให้ดูชัดเจนมากขึ้น โดยการคัดเลือกสุนัขที่มีความเหมาะสมทางด้านนิสัยและพฤติกรรมให้กับผู้ที่มีความพร้อมที่จะเลี้ยงสุนัข และควรจะทำหมันให้สุนัขทุกตัวที่ร่วมโครงการนี้ด้วย
ข้อดีของวิธีนี้
-สุนัขจะได้มีเจ้าของและได้รับความเอาใจใส่มากขึ้น
-เจ้าของที่ต้องการจะรับไปเลี้ยงจะได้ไม่ต้องเสียเงิน

5.รณรงค์ให้ผู้ที่ต้องการเลี้ยงสุนัข มารับอุปการะสุนัขจากที่สถานรับเลี้ยงแทนการซื้อสุนัขตัวใหม่จากร้าน ขอความร่วมมือให้เจ้าของสุนัข ทำหมันสุนัขทุกตัวที่ไม่ต้องการให้มีลูกแม้แต่ตัวผู้ก็ตาม เพื่อป้องกันการแพร่พันธุ์โดยไม่ได้ตั้งใจ สุดท้ายจำนวนสุนัขจรจัดที่เหลืออยู่ก็จะค่อยๆลดจำนวนลงจนหมดไปในที่สุด

สุนัขจรจัดไปไหน เมื่อไม่มีเจ้าของ (ในกรุงเทพมหานคร)
สุนัขจรจัดสร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนในหลายๆเรื่อง ผู้ที่เดือดร้อนบางคนใช้วิธีโทรเเจ้งเทศกิจให้จับไป และยังมีมูลนิธิ หรืองค์กรต่างๆที่ให้ความช่วยเหลือสุนัขจรจัดช่วยไว้ด้วย
มาเริ่มที่เทศกิจก่อน ว่าเจ้าหน้าที่เทศกิจจับยังไง และเอาสุนัขเหล่านั้นไปไว้ที่ไหน
แต่ละปีมีผู้ร้องเรียนเรื่องสุนัขจรจัดมาทางสายด่วนของกทม.(1555) ประมาณ 4,500เรื่องต่อปี และเรื่องที่ร้องเรียนมามากที่สุดคือ
1.พบเห็นสุนัขบ้า/สงสัยว่าติดเชื้อพิษสุนัขบ้า
2.ดุร้าย สร้างความเดือดร้อน
3.เห่า/หอน สร้างความรำคาญ
หลังรับแจ้งไม่เกิน 7 วัน เจ้าหน้าที่เทศกิจก็จะลงพื้นที่ไปพูดคุยกับผู้ร้องเรียน เพื่อสอบถามถึงปัญหา และถ้าเจอเจ้าของสุนัข ก็ให้เจ้าของสุนัขเจรจากับผู้เดือดร้อน (แต่ส่วนมากแล้วจะไม่พบเจ้าของสุนัข) เจ้าหน้าที่จะยึดผลเจรจาเป็นหลักว่าจับ หรือไม่จับ
การจับสุนัข เจ้าหน้าที่จะต้อนสุนัขไปจนมุมแล้วใช้สวิงครอบ และนำใส่กรง หรือรถกรงไปไว้ที่ ศูนย์พักพิงสุนัขประเวศ
เมื่อไปถึงศูนย์พักพิงสุนัขประเวศ เจ้าหน้าที่จะฉีดวัคซีนป้องกันโรค เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่สุนัขในศูนย์พักพิง จากนั้นจะกักตัวดูอาการว่ามีอาการของโรคอื่นๆหรือไม่ จากนั้นรอให้เจ้าของรับลงกลับคืน7วัน ถ้าเจ้าของยังไม่มารับคืน ก็จะส่งไปคอกรวม เเละรออีก7วัน ถ้ายังไม่มีผู้มาอุปการะ ก็จะส่งสุนัขไปยังศูนย์พักพิงสุนัขที่ัจังหวัดอุทัยธานี
โดยจะเลี้ยงไว้ที่นั่นรอผู้มาอุปการะจนหมดอายุขัยสุนัข ซึ่งตอนนี้มีสุนัขในการดูแลของกทม.ประมาณ6,000ตัว และกทม.ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งการฉีดวัคซีน ทำหมัน เเละอาหารประมาณปีละ 24.5ล้านบาท

ต่อกันที่มูลนิธิและองค์กรต่างๆที่ให้ความช่วยเหลือสุนัขจรจัด จากเท่าที่ไปค้นหามา ก็มีชมรม/มูลนิธิต่างๆดังนี้
มูลนิธิเพื่อการรักษาสุนัขจรจัด
*วัตถุประสงค์ของมูลนิธิ
-รักษาสุนัขจรจัดยามเจ็บไข้ได้ป่วย
-รณรงค์จิตใต้สำนึกให้กับประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับสุนัขจรจัด
-ช่วยสัตว์ป่วย และเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วเพื่อการช่วยเหลือสัตว์ตามที่สาธารณะต่างๆ และสัตว์ที่ถูกกักขัง/ทำร้าย
-พร้อมเป็นคลินิกเคลื่อนที่บำบัดสัตว์ป่วยทุกชนิด
-จัดการครูฝึกสุนัขมาฝึกสอนสุนัขจรจัด
-หาเจ้าของให้สุนัข
-ช่วยภาครัฐในการควบคุม/ป้องกัน โรคติดต่อ ให้สาธารณะชุมชนดีขึ้น
-เผยแพร่ และเเลกเปลี่ยนความรู้การวิจัยและรักษา
-ดูแลสุนัขจรจัดให้มีสุขภาพและอนามัยดีขึ้น และหาที่พักให้ต่อไป
-ร่วมมือกับองค์กรอื่นๆเพื่อสาธารณะประโยชน์
การติดต่อมูลนิธิ ที่อยู่(รพ.สัตว์โรจน์นิรัดร์) ห้อง301 อาคารเกษมกิจ เลขที่120 ถ.สีลม แขวงสุริวงศ์ เขตบางรัก กทม.10500
ที่อยู่(สำนักงานโพธิ์แก้วล้อม)ตั้งอยู่ในวัดทุ่งครุ เลขที่9 หมู่ที่5 ซ..ประชาอุทิศ84 ถ.ประชาอุทิศ แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กทม.10140
โทร.02 463 9283,027466498
องค์กรการกุศล Pic A Pet4Home
เป็นกลุ่มที่ประกอบไปด้วยคนที่รักและให้ความช่วยเหลือสัตว์ กลุ่มมีที่ปรึกษาที่คอยให้ความรู้ และให้คำปรึกษา มีทั้งท่านที่เป็นสัตวแพทย์ และบุคคลที่ให้ความช่วยเหลือองค์กรต่างๆเกี่ยวกับสัตว์
กลุ่มเน้นการหาผู้มาอุปการะสุนัขและแมวจรจัด โดยจะทำหมันและฉีดวัคซีนให้ทั้งหมด
ติดต่อ โทร.089 669 1690,081 4512233

และกลุ่มสุดท้าย DOGCHANCE
ก่อตั้งโดยผู้ที่รักสุนัข และต้องการช่วยเหลือสุนัข 
เป้าหมายของชมรมคือการ 
-ปลุกจิตสำนึกของคนให้มีความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยง
-ให้คนปฏิบัติต่อสุนัขอย่างมีเมตตา
-ทำหมันสุนัขเพื่อป้องกันการเพิ่มจำนวนของสุนัข
และกลุ่มได้รณรงค์ในเรื่องของการลดจำนวนสุนัขจรจัด ฉีดวัคซีนต่างๆ
โดยเน้นการทำหมันสุนัข
ติดต่อ โทร.02 258 7097
pymberly@hotmail.com


งานวิจัยที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของสุนัข
งานวิจัยเกี่ยวกับสุนัขและพฤติกรรมของมัน สุนัขจะมีการสื่อสารออกมาในรูปแบบต่างๆกันออกไป ได้แก่..
1.ท่าทาง ประกอบไปด้วยการแสดงออกทางใบหน้าและลำตัว เช่น การแยกเขี้ยว การแกว่งหาง ฯลฯ
2.เสียง เสียงหอน เสียงเห่า เสียงขู่และเสียงคราง
3.กลิ่น กลิ่นจะมาจากอุจจาระและปัสสาวะของสุนัข บ่งบอกถึงอาณาเขตและสถานการณ์สืบพันธุ์

เมื่อมีการค้นคว้าละเอียดมากขึ้น จึงได้เป็นพฤติกรรมการสื่อสารและความหมายของสุนัขออกมา
พฤติกรรม                                                           ความหมาย
1.การกระดิกหาง                                                   แสดงความรักและดีใจ
2.การทำหางตั้งขึ้น                                                 สงสัยอะไรบางอย่าง
3.การทำหางตก/จุกตูด                                             แสดงความกลัวหรือยอมแพ้
4.การเอาจมูกแตะกัน/ดมก้น                                     สุนัขทำความรู้จักกัน เป็นการหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน
5.การนอนหงาย                                                    แสดงการยอมแพ้ เพื่อจะได้ไม่ถูกทำร้าย
6.การปัสสาวะ                                                       ประกาศอาณาเขตที่อยู่
7.การเดินวนไปวนมา                                              การจับจองบริเวณ แสดงความเป็นเจ้าถิ่น
8.การเลียและคลอเคลีย                                           แสดงความรักและเป็นมิตร
9.การใช้จมูกดมตามพื้น                                           หาที่ขับถ่ายหรือเพื่อค้นหา
10.การเห่า                                                          แสดงอาการระวังภัยหรือติดต่อกับสุนัขในฝูง
11.การขู่                                                             ใช้เพื่อขู่ผู้ต่อสู้
12.การหอน                                                         แสดงอาการว้าเหว่หรือหาคู่
13.การคราง                                                         เมื่อรู้สึกดีใจ เจ็บปวดหรือเครียด
14.การทำงายข้าวของ                                             เรียกร้องความสนใจ อาจะเกิดจากการถูกทิ้งหรือเก็บกด

จากการศึกษาพบว่าพฤติกรรมการกินของสุนัข เมื่อสุนัขมีการกินอาหารพร้อมกันหลายตัว ปริมาณการกินของแต่ละตัวจะเพิ่มขึ้นมากกว่าการกินอาหารตัวเดียว ในกรณีที่อาหารมีจำนวนจำกัด จะพบการจัดลำดับทางสังคมของสุนัขชัดเจน สุนัขที่มีสถานะในสังคมสูงสุดจะได้กินก่อนและปริมาณมาก และสุนัขจะกินน้อยลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสู่สภาพแวดล้อมใหม่ อย่างไรก็ตาม สุนัขเป็นสัตว์ที่ปรับตัวได้รวดเร็ว โดยจะปรับตัวได้ภายใน 3 วันเท่านั้น

โรคต่างๆจากสุนัขจรจัด
สุนัขจรจัดเป็นพาหะนำเชื้อโรคต่างๆมากมาย ซึ่งโรคเหล่านี้ล้วนมีอันตราย บางโรคสามารถทำให้เสียชีวิต ดังนั้นการป้องกันไว้ก่อนจึงเป็นวิธีที่ดีกว่าการรักษาเมื่อติดโรคนั้นๆแล้ว โรคต่างๆที่สุนขจรจัดเป็นพาหะเชื้อโรคได้แก่
1.โรคพิษสุนัขบ้า    เป็นโรคจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอาการอักเสบเฉียบพลันในสมองของสัตว์เลือดอุ่นรวมถึงมนุษย์ด้วย เกิดจากการโดนสุนัข แมวและสัตว์เลือดอุ่นอื่นๆที่มีเชื้อนี้อยู่ในตัวกัดหรือข่วน เชื้อโรคจะแพร่โดยน้ำลายและของเหลวจากร่างกาย หากโดนกัด การปฐมพยาบาลเบื้องต้นคือ ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดนานๆ จะช่วยลดจำนวนเชื้อโรคได้ พร้อมทั้งรีบไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโดยเร็ว
สุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ามักมีอาการเซื่องซึมหรือก้าวร้าว ไม่กินอาหารหรือกินน้อยลง กลัวน้ำ ฯลฯ สาเหตุที่สุนัขจรจัดมักจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้ามากกว่าสุนัขที่มีเจ้าของ เป็นเพราะสุนัขจรจัดไม่มีคนมาคอยฉีดวัคซีนป้องกันให้ อาการเริ่มต้นของโรคพิษสุนัขบ้าในมนุษย์ มีไข้และเป็นเหน็บบริเวณที่สัมผัส อาการเริ่มต้นนี้มักเกิดอาการอื่นๆตามมาอย่างน้อย 1 อาการ เช่น เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง มีความตื่นเต้นควบคุมไม่ได้ กลัวน้ำ ขยับร่างกายบางส่วนไม่ได้ และไม่รู้สึกตัว เมื่อเกิดอาการสุดท้ายนี้จะถึงแก่ชีวิต

2.โรคจากปรสิต     คือโรคที่เกิดจากสัตว์ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายของสัตว์อื่นเพื่อเจริญเติบโต กินอาหารหรือเลือดและแพร่ขยายจำนวน ทำให้มนุษย์อ่อนแอและเจ็บป่วยง่ายแพร่โดยการสัมผัส ปรสิตสามารถแพร่เข้ามาในร่างกายของมนุษย์ได้หลายทางด้วยกัน ได้แก่
-ทางปาก             ด้วยการกินอาหารที่มีการปนเปื้อนไข่ปรสิตชนิดต่างๆทั้งพยาธิ แฟลเจลเลต สปอโรซัว ไมโครสปอริเดียและซิลิเอต ผู้ที่บริโภคอาหารที่ไม่สุก ผ่านความร้อนไม่พอ จะเป็นกลุ่มเสี่ยง
-ทางผิวหนัง         ปรสิตจะเข้าสู่ร่างกายโดยการชอนไชผิวหนังที่มีบาดแผลหรือผิวหนังส่วนบาง การป้องกันคือหลีกเลี่ยงการสัมผัสสุนัขที่ไม่มีเจ้าของ

3.สัตว์พาหะ         ได้แก่ ยุ่ง เห็บ หมัด เป็นต้น ดื่มเลือดเป็นอาหาร ซึ่งเป็นเหตุให้ปรสิตขนาดเล็กสามารถแพร่เข้าสู่ระบบเลือด และทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา เช่น โรคมาลาเรียจากเชื้ออะมีบา หรือเกิดจากการสัมผัสสัตว์ที่เป็นโฮสต์เช่น สุนัข แมว ไก่ ฯลฯ ทำให้ปรสิตบางชนิดสามารถกระโดดเกาะและกลายเป็นปรสิตในมนุษย์ได้
            การรักษาโรคปรสิตกลุ่มเซลล์เดียว สามารถใช้วิธีฉีดหรือรับประทานยาที่สามารถฆ่าปรสิตนั้นได้ เช่นยา Quinacrine หรือ Metronidazole เพื่อรักษาโรคไจอาร์ดิเอซิส(Giardiasis) ฯลฯ ส่วนการรักษาโรคปรสิตกลุ่มหลายเซลล์มีดังนี้
-ปรสิตในกลุ่มของพยาธิจะใช้ยากำจัดพยาธิชนิดรับประทาน
-ปรสิตในกล่มที่ชอบดูดกินเลือดตามร่างกาย รักษาด้วยการทำความสะอาดร่างกายให้สะอาด
การป้องกันโรคจากปรสิต สามารถทำได้หลายทาง
-เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ทั้งเนื้อสัตว์และผักชนิดต่างๆ
-ล้างมือบ่อยๆและล้างให้สะอาดก่อนหยิบจับอาหาร
-เลือกดื่มน้ำที่สะอาด
-เก็บอาหารให้พ้นจากการสัมผัสของสัตว์พาหะทุกชนิด
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติโดยตรง
-ป้องกันอันตรายจากการกัดของสัตว์พาหะด้วยการแต่งกายมิดชิด หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่อาจมีปรสิตอยู่
-หมั่นทำความสะอาดเครื่องนุ่งห่มและที่อยู่อาศัยให้สะอาดอยู่เสมอ

4.ขี้กลาก             เกิดจากการติดเชื้อราของผิวหนัง โดยการสัมผัส จะเกิดเป็นจุดแดงๆหรือสะเก็ตบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะที่ศีรษะ ข้อพับแขนและขา ป้องกันโดยการหลีกเลี่ยงไม่สัมผัสสัตว์ที่เป็นโรคเรื้อน ฯลฯ และทำความสะอาดร่างกายให้สะอาด