วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

เรียนสร้างเว็บ

                                                       สรุปการไปเรียนรู้การสร้างเว็บ

วันที่ 25/4/59         ผู้ร่วมเรียนในวันนี้ เกล , ติณณ์,เนม,ซี,แคที,มะลิ,ซัน,ผา,ข้าวปุ้น,ขมิ้น,จัสติน
                
                       โจทย์ต่อไปงานของเราก็คือ การไปเรียนรู้วิธีเขียนโค้ด เมื่อแม่แก้วได้เชิญ”ครูเบิร์ด” หัวหน้าโปรเจ็คพัฒนาเว็บ(Project manager) ให้มารับหน้าที่สอนพวกเรา ครูบอกว่า จุดสำคัญของการสร้างเว็บคือการเรียบเรียง โดยให้เรา   เรียบเรียงเรื่องราวไว้ในหัวก่อน เมื่อเราต้องทำอะไรซ้ำๆที่เหมือนเดิมเป๊ะๆ มักจะใช้ให้คอมพิวเตอร์ทำงานแทนเรา เพื่อความสะดวกสบายยิ่งขึ้น นี่คือประโยชน์ของการเขียนโปรแกรม
                   
                      เวลาจะทำเว็บอะไรก็ตามออกมาเราจะต้องหันมาคำนึงถึงผู้ใช้ของเราเสมอ ว่าผู้ใช้ น่าจะเป็นบุคคลประเภทใด อายุประมาณไหน เหมาะกับเว็บแบบใด ถึงจะทำให้น่าสนใจสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ และเพื่อให้เราทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด จากการศึกษาพบว่า ช่วงเวลาทำงาน 25 นาทีแรก จะทำงานได้ดีที่สุด พัก 5 นาที โดย 25 นาทีที่ทำงานนี้ เราจะต้องจดจ่อกับงาน ไม่วอกแวกไปทำอย่างอื่นเลย หลักการนี้เรียกว่า “ Pomodoro Tenchnique “ นั่นเอง
                    ขั้นตอนการสร้างเว็บมีดังนี้..
1.ขึ้นเเบบฟอร์ม <   >
 2.ต่อด้วยเขียน head หัวเรื่อง ซึ่งจะยังไม่แสดง
3. body ข้อมูลจะขึ้นที่หน้าจอ
4.ตั้งชื่อ (Title) สามารถมีหัวเรื่องหลายเรื่อง (h)
 5.สามารถกำหนดให้ h1 มีสีฟ้า หรือสีอะไรก็ตามก็ได้"   

                สรุปแล้วการสร้างเว็บนี้ ทีมงานจะแบ่งอยู่ 3 กลุ่ม นั่นคือ
Developer คือ คนที่ทำข้อมูล เขียนโค้ด ให้เว็บ
Design      คือ คนที่คอยดูแลจัดวางออกแบบเว็บให้สวยงามเรียบร้อย
Content     คือ คนที่เป็นคนหาข้อมูลต่างๆสำหรับนำมาลงเว็บ
       
                  สำหรับเว็บโครงการบ้านเรียนรุ่งอรุณที่เราจะทำกันนี้ ช่วงเย็นเราได้ทำการแบ่งกลุ่มกันตามที่อยากทำ ข้อมูลที่จะเอามาลงในเว็บ จะต้องประทับใจ ไม่เครียดไม่เบื่อ น่าสนใจ น่าศึกษาเพิ่ม และทำให้อยากมีส่วนร่วม โดยคิดเอาไว้ว่า กลุ่มคนที่น่าจะได้เข้ามาดูในเว็บของเราน่าจะมีช่วงอายุ 11-55ปี และแบ่งย่อยเข้าไปอีกเป็นช่วงอายุนักเรียน ( 11-18 ) และช่วงอายุพ่อแม่ (35-55)  
                    ดังนั้นเว็บที่เราจะทำนี้ จะต้องมีเนื้อหาที่ดีและเยอะสำหรับผู้ใหญ่ และดูแล้วต้องน่าสนุก น่าสนใจ ไม่น่าเบื่อ สำหรับเด็ก สิ่งที่จะนำมาลงในเว็บของเราก็จะมีรูปแบบดังนี้..
Picture ,Text ,Gallery(Doodle gallery) , Video

กลุ่ม Developer  ซัน , ติณณ์ , จัสติน (ต้องทำการเขียนโค้ดต่างๆ และสร้างเว็บให้เสร็จ ในกณีของเรา อาจจะใช้เป็นเว็บสำเร็จรูปก็ได้ อาจจะใช้เป็นการพัฒนาเว็บตามที่ทีม Design และ Content คิดมา)

กลุ่ม Design       เกล ,ข้าวปุ้น ,ซี ,ขมิ้น,แนน,เนย,พุทธ,ปุ้น,ปั้น(ช่วย Developer ออกแบบเว็บให้มีความสวยงาม ถ้ามีแต่แต่ Developer เว็บก็จะมีแต่โค้ดเต็มไปหมด ไม่น่าอ่าน ทำการออกแบบให้ตรงตามโจทย์ที่ทีมใหญ่ต้องการ)

กลุ่ม Content      ผา,แคที,มะลิ,แปม (ทีมนี้ก็มีความสำคัญมากเช่นกัน เพราะถ้ามีเว็บ มีพื้นที่ว่างสำหรับลงข้อมูล แต่ไม่มีตัวข้อมูล การทำเว็บขึ้นมาก็ไม่มีประโยชน์ เป็นทีมที่ต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาข้อมูลมาลง ว่าควรมีอะไรบ้าง จะเอาลงนำเสนอในรูปแบบใด)


วันที่ 27/4/59       ผู้เข้าร่วมเรียนในวันนี้  เกล,แนน,ติณณ์,เนม,แปม,แคที,มะลิ,ซัน,ผา,ข้าวปุ้น,เนย,ขมิ้น,จัสติน,ปุ้น,ปั้น,พุทธ
         
                     วันนี้พวกเราจะได้ลงมือ"ร่างภาพเว็บ"ของเรากันเเล้ว นั่นคือ ครูเบิร์ดจะให้แต่ละกลุ่มได้ออกมาทำ workshop กัน เนื่องจากวันนี้มีคนมาเรียนเพิ่ม ครูเลยพูดสรุปให้สั้นๆเกี่ยวกับหน้าที่ของกลุ่มต่างๆ ซึ่งสำหรับคนที่มาเรียนตั้งแต่วันที่ 25 ก็ถือเป็นการทบทวนไปในตัวด้วย ครูบอกว่าถ้าอยากได้คำตอบที่ดี ที่ถูกต้อง จะต้องตั้งคำถามให้ถูกเสียก่อน

                      ทีมแรกที่จะต้องออกมาทำงานกันก็คือ...Content ทีมฉันนี่เอง โดยกฏของการทำงานนี้ คนอื่นๆสามารถมาร่วมสังเกตุได้ แต่ห้ามพูดแนะนำ หรือช่วย นอกเสียจากคนในทีมจะเป็นคนถาม หรือ ขอให้ช่วยเท่านั้น 3 นาที สำหรับพูดคุยถึงประเด็นที่อยากจะเอามาทำเว็บ 20 นาทีสำหรับจัดวางแบ่งกลุ่มให้เหมาะสม จากนั้นก็ออกมานำเสนอโดยใช้วิธี เป่ายิงฉุบ จะได้ไม่มีการเกี่ยงกัน และ ยุติธรรมดี(ตามที่ครูพูด)ร้ายจังเลยนะ ครูเบิร์ดเนี่ย..

                       และสงสัยว่าครูอยากจะชดเชยในสิ่งที่เพิ่งพูดออกไป จึงมีเทคนิค การหาข้อมูลมาลงในเว็บ ให้  Content อย่างพวกเรา ซึ่งเทคนิคที่ครูเอามาให้ก็มีดังนี้..

1.เนื้อเรื่องที่จะนำมาลงสามารถมีเรื่องอะไรได้บ้าง ให้หาเรื่องมาเยอะๆ
2.ใส่สัญลักษณ์เครื่องหมายอะไรก็ตามแต่ลงในเรื่องแต่ละเรื่อง ว่าเรื่องนั้นๆสำหรับเหมาะกับคนอายุประมาณเท่าใด
3.เขียนชื่อเดือนที่น่าจะลงเนื้อหานั้นๆ
4.นำรายชื่อเนื้อหา มารวมกันกับเพื่อนๆ Content คนอื่นๆ
5.ช่วยกันดู ช่วยกันคิดพิจารณา ถ้าเดือนไหนยังไม่มีเนื้อหาจะเอามาลง ให้ช่วยกันคิดเพิ่มเติม หรือ ย้ายจาก เดือนอื่นมาลงที่เดือนนี้แทน (ในแต่ละเดือน ควรจะมีเนื้อหา 1 ถึง 2 ครั้ง /เดือน)

                      เมื่อเริ่ม เราก็ช่วยกันคิดหาหัวข้อสำหรับมาลงในเว็บ โดยเริ่มจากหาหัวข้อใหญ่ก่อน แล้วจึงค่อยช่วยกันคิดหาหัวข้อย่อยลงมา เราพูดกันเร็วปรื๋อ เพราะเวลามีจำกัด ต้องเร็วไว้ก่อน :D เมื่อคิดกันเสร็จก็หมดเวลาพอดี เราก็ เป่ายิงฉุบกัน หาคนออกมานำเสนอคนอื่นๆ ปรากฏว่าคนที่ต้องพูดก็คือ แคที นั่นเอง เราคนอื่นๆในกลุ่มก็มาช่วยกันถือกระดาษที่เขียนภาพประกอบลงไปให้ หัวข้อที่เราช่วยกันคิดมีดังนี้..

Home                                                         (What is home school/Video intro to กิจกรรม)สำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่
About us                                                    (Purpose origin /แบบฟอร์มประเมิน/ปฏิทินการศึกษา)สำหรับผู้ใหญ่ 
News                                                         (กีฬาสี/โครงงาน/PBL)
Arts Gallery                                               (ผลงานของเด็กๆ/pottery/Music/video/Paint/Draw)
Major                                                          (ไทย/อังกฤษ/วิทยาศาสตร์)
Information,Please contact                   (The question/Application)

                   ต่อไปก็เป็นคราวของ Design ทุกคนออกมาออกแบบรูปร่างหน้าตาของเว็บ โดยดูจากข้อมูลที่ Content คิดกันเอาไว้ ฉันซึ่งไปด้อมๆมองๆรอบๆ ก็ได้เห็นวิธีเขียนสัญลักษณ์ของ วิดิโอ รูปภาพ และภาพสไลด์ สุดท้ายก็สรุปได้คร่าวๆว่าธีมของเว็บบ้านเรียนรุ่งอรุณจะเปลี่ยนไปตามฤดูหรือเทศกาลต่างๆ มีตัวมาสค็อด และสิ่งที่อยากเห็นในเว็บบ้านเรียนคือความสดใส ดูเป็นธรรมชาติ ตัวหนังสือต้องดูน่าสนใจนั่นเอง


                    สำหรับในทีม developer ไม่ต้องออกมาทำอะไรมากมาย เพราะมันเป็นเรื่องของการทำคอม และใช้เวลานานมาก การเรียนสร้างเว็บจึงได้จบลง การสร้างเว็บนั้น ไม่สามารถทำคนเดียวได้ ดังนั้นทุกทีมต่างก็มีความสำคัญเท่ากันทุกทีม ถ้าขาดทีมใดไป เว็บก็จะออกมาไม่ดี ไม่สมบูรณ์




วันที่19/5/59 ผู้มาร่วมทำในวันนี้ เกล,แนน,ติณณ์,เคที,มะลิ,ข้าวปุ้น,จัสติน,ลางริน

                    วันนี้ เรามารวมตัวกันอีกครั้ง ทันทีที่ได้เข้ามาในห้อง(ฉันมาสายที่สุดในหมู่นักเรียน)ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าทุกคนกำลังนั่งล้อมรอบโต๊ะ และกำลังถือกบกระดาษพับเอาไว้ในมือ 

                     ครูบอกฉันว่าวันนี้เราจะมาเล่นเกมกัน โดยสมมุตติว่าเราอยู่ในโรงงานผลิตกบกระดาษ แต่ละคนจะมีหน้าที่พับในแต่ละช่วงของการพับเป็นกบขึ้นมา และพวกเราจะถูกแบ่งออกเป็น 2 โรงงาน เพื่อดูว่าโรงงานไหนจะทำงานได้ดีขนาดไหน ฉันซึ่งมาสายจึงได้มาอยู่ช่วงการพับที่ 4 ซึ่งเป็นขั้นตอนการพับช่วงสุดท้ายเเล้ว ในการผลิตกบขึ้นมาในแต่ละครั้งนั้น ครูจะมีนาฬิกาจับเวลาเอาไว้ ในเเต่ละครั้งนี้ จะมีอยู่ทั้งหมด 12 กริ๊ง(เสียงนาฬิกา) เมื่อเราพับในช่วงของเราเสร็จเเล้วต้องรอให้เสียงกริ๊งผ่านไปก่อน 2 ครั้งจึงจะใส่กบของเราลงในกล่องเพื่อให้คนที่อยู่ช่วงต่อไปนำมาพับต่อ ในกรณีของฉันซึ่งอยู่ช่วงสุดท้าย เมื่อมีเสียงกริ๊งผ่านไป 2 ครั้งถึงค่อยส่งต่อให้แมซเซนเจอร์ ซึ่งมีหน้าที่ส่งกบเหล่านี้ไปให้ลูกค้า กบแต่ละตัวจะมี 2 คะแนน ถ้ามีกบเหลืออยู่ในสต็อค ก็จะโดนลบคะเเนน และถ้าส่งกบสีที่ลูกค้าต้องการได้พอดีก็จะได่คะแนนเพิ่ม ทั้งหมดที่ว่ามานี้คือการเเข่งในรอบหนึ่งเท่านั้น เราจะแข่งกันทั้งหมด 5 รอบ ในแต่ละรอบของการเเข่งกันนี้เอง ครูก็จะสอนเทคนิคในการทำงานไปด้วย

                      ในรอบแรกกบออกมาดูดีที่สุด ในรอบต่อๆมาครูก็จะเพิ่มความท้าทายมาให้ นั่นคือ ให้เราส่งคนมาสองคนเพื่อให้เลือกว่าจะเลือกเป็นคนที่ทำงานสองอย่างได้ (ออกมาจากการพับนานสามกริ๊ง จากนั้นก็สามารถที่จะส่งกบได้)หรือจะเลือกเป็นคนที่ทำงานอย่างเดียวแต่(เทพ)ชำนาญ(ออกจากการพับนานหกกริ๊ง จากนั้นก็สามารถที่จะส่งกบได้ทุกกริ๊ง)ปรากฏว่าคนส่วนใหญ่เลือกที่จะทำงานสองอย่าง เพราะมันมีความหลากหลายมากกว่า เผื่อว่าคนที่แผนกหนึ่งเกิดหายไปขึ้นมา จะได้ทำงานแทนกันได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฉันคิดว่ามันดีทั้งคู่เลยนะ ปัญหาต่อมาคือเรื่องดราม่าในที่ทำงาน สมมติว่าคนหนึ่งลาป่วยเราจะทำอย่างไร ผลออกมาคือ..ทุกคนก็ยังสามารถทำงานต่อไปได้อย่างดี (เผลอๆอาจจะดีกว่าตอนที่ยังมีคนอยู่ครบด้วยซ้ำ)แม้ว่าคนที่ลาป่วยไปจะแรงสำคัญในการทำงานก็ตาม ปัญหาต่อมาคือ..ปัญหาของหมดสต็อค กระดาษสำหรับพับกบจะหายไปสีหนึ่ง ที่แน่ๆก็คือเราจะไม่สามารถส่งสินค้าในสีที่ลูกค้าต้องกการได้(ถ้าสีที่ลูกค้าต้องการเป็นสีที่หมดสต็อคพอดี) ทำให้เราจะได้รายได้น้อยลง(ในที่นี้คือคะแนนที่ได้จากกบก็จะน้อยลงไปด้วย)

                      ในที่สุด การแข่งขันก็จบลง ในที่สุดฉันก็เข้าใจเเล้วว่าวันนี้จุดประสงค์ของครูคืออะไร ครูต้องการให้พวกเราเห็นถึงปัญหาของการทำงานว่ามันสามารถเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง และเราจะสามารถแก้มันได้อย่างไรบ้าง เรียนรู้ที่จะออกความเห็นร่วมกันนั่นเอง





















                                                                                                                                                   

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559

My hand


My hand

Assignment 10 :My hand(มือของฉัน)
                       ในโจทย์ข้อนี้ จะให้เราถ่ายรูปมือของตัวเราเอง จับ หยิบ หรือ ทำอะไรก็ตามที่เรามักจะหยิบจับอยู่บ่อยๆ หรือ อะไรก็ได้ที่ทำแล้วเป็นตัวเรา




Camera :Samsung Galaxy Note 2
Mode :Low light
ISO :800

              
                      หลังจากอ่านโจทย์ที่แม่แก้วให้มาเสร็จแล้ว สิ่งแรกที่นึกออกว่าจะถ่ายมือของเรากับอะไรดี ก็คือ"หนังสือ"นี่ล่ะ เวลาอ่านหนังสือเหล่านี้(โดยเฉพาะหนังสือพวกนิยาย) ฉันจะรู้สึกเหมือนกับได้เข้าไปอยู่ในเรื่องราวนั้นจริงๆ มันเป็นโลกที่น่าตื่นเต้น มาคิดๆดูแล้ว ในวันๆหนึ่ง ฉันจะต้องได้อ่านหนังสือเล่มโปรดอย่างน้อยหนึ่งหน้า ซึ่งนอกจากความเพลิดเพลินในการได้อ่านเเล้ว หนังสือเกือบทุกเรื่องก็จะมีแง่คิดให้ผู้อ่านได้เก็บไปขบคิด ไม่มากก็น้อยล่ะ 

                      เมื่อมีโจทย์ออกมาอย่างนี้ ฉันจึงไม่ลังเลที่จะให้หนังสือ เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานของฉันครั้งนี้เลย!

การถ่ายภาพ

                                                                 
                                                             โจทย์การถ่ายภาพ


                     หลังจากการได้รวมกลุ่มประชุมเรื่องโครงงานกันมาเเล้วครั้งหนึ่ง ตลอดการทำโครงงานนี้ แม้อาจจะไม่ได้เจอกัน ก็จะมีโจทย์การบ้านต่างๆ มาให้เราทำ เพื่อเป็นการฝึกฝนทักษะต่างๆ จะได้มีความรู้เติมเต็มในสิ่งที่ยังไม่เคยรู้ หรือไม่ก็จะได้มีความรู้มากขึ้นนั่นเอง

ตอนนี้ก็มีโจทย์ให้เราทำแล้ว 2 โจทย์ นั่นคือ
1.การเขียนบันทึกจากการที่ไปประชุมเรื่องโครงงาน
2.การเปิดบล็อกเป็นของตัวเอง

                    สำหรับในโจทย์ข้อที่ 3 นี้เอง แม่แก้วได้ให้พวกเราถ่ายภาพส่งตามโจทย์ย่อยที่ให้อีกที โดยโจทย์ย่อยนี้ แม่แก้วจะให้เป็นคีย์เวิร์ด เราจะต้องไปหาความหมายและข้อมูลกันเอาเอง โจทย์ต่างๆของเราก็มีดังนี้..

Assignment 1:Rule of third (กฏ 3 ส่วน)
                    กฏ 3 ส่วน เป็นหลักการถ่ายรูปอย่างหนึ่ง ที่จะลากเส้นแบ่งภาพในจินตนาการให้เป็น 3 ส่วน ไม่ว่าจะเป็นเส้นเเนวนอนหรือเเนวตั้งก็ตาม เมื่อลากเส้นทั้งแนวตั้งเเละเเนวนอนจะเกิดจุดตัดของเส้น 4 จุดด้วยกัน ซึ่ง 4 จุดนี้เอง คือตำแหน่งที่เหมาะที่จะวางจุดเด่นของภาพไว้


Camera: Samsung Galaxy Note 2
Mode: Single shot
ISO: Auto




Assignment 2:Repetitive Pattern(รูปแบบซ้ำ)
                   


Camera :Samsung Galaxy Note 2
Mode :Low light





Camera :Samsung Galaxy Note 2
Mode :Low light




Assignment 3:Reflection(การสะท้อน)



Camera :Samsung Galaxy Note 2
Mode :Single shot
ISO :Auto



Camera :Samsung Galaxy Note 2
Mode :Single shot
ISO :100





Camera :Samsung Galaxy Note 2
Mode :Single shot
ISO :Auto




Assignment 4:Interesting Perspectives
                    เป็นภาพที่สามารถถ่ายได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพที่มีมุมมองแปลกๆ หรือ จะเป็นภาพที่ดูมีมิติลึกลงไปก็ได้


Camera :Samsung Galaxy Note 2
Mode :Single shot
ISO :Auto




Camera :Samsung Galaxy Note 2
Mode:Single shot
ISO :Auto




Assignment 5:Symmetry(สมมาตร)





Camera :Samsung Galaxy Note 2
Mode :Single shot
Effect :Warm vintage
ISO :800




Assignment 6:Leading Lines(เส้นนำสายตา)
                    เป็นเทคนิคถ่ายภาพที่จะนำสายตาของคนดูไปยังจุดที่เราอยากให้สนใจ จะทำให้ภาพดูมีมิิติมากขึ้น



Camera :Samsung Galaxy Note 2
Mode :Auto
Effect :Warm vintage
ISO :Auto




Assignment 7:Create Abstracts(ศิลปะ นามธรรม)
                    หรือ Abstract Art เป็นการถ่ายภาพแบบที่ใช้รูปทรงอิสระ ถ่ายทอดสีและพื้นผิวเเสงตามความต้องการของคนถ่าย รูปที่ออกมา คนดูสามารถที่จะคิดอย่างไรกับภาพนี้ก็ได้ ไม่มีถูกหรือผิด



Camera :Samsung Galaxy Note 2
Mode : HDR
ISO :800




Assignment 8:Textures(พื้นผิว)



Camera :Samsung Galaxy Note 2
Mode :Beauty
ISO :Auto






Camera :Samsung Galaxy Note 2
Mode :Single shot
ISO :800




Assignment 9:Negative Space(พื้นที่ว่าง)
                    เป็นภาพที่เราจะโฟกัสในพื้นที่รอบๆมากกว่า ไม่ใช่วัตถุเด่นของภาพ บางครั้งการถ่ายรูปอย่างนี้ก็สวยไปอีกแบบ เมื่อเราต้องการพื้นที่ว่าง หรือ พื้นที่รอบๆมากกว่าวัตถุเด่นของภาพ


Camera :Samsung Galaxy Note 2
Mode :HDR
ISO :800


























                   























วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2559

บันทึกข้อมูลของ PBL

                                                                          บันทึกการประชุมโครงงาน


                        ในวันที่ 25/3//2559 ที่ผ่านมานี้ ฉันได้ไปประชุมเรื่องการทำโครงงาน ที่บ้านแม่อ้อ เมื่อมาถึงเด็กๆชั้นมัธยมทุกคนก็มานั่งรวมกันพูดคุยถึงเรื่องการนัดไปเที่ยว โดยจุดประสงค์หลักคือ เพื่อให้เราๆทุกคนสนิทกันมากขึ้นนั่นเอง จนแม่แก้วได้เดินมาบอกให้เราแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม เพื่อไปหาข้อมูลของ PBL (project based learning) และ 21st Century Skills มานำเสนอกัน ฉันอยู่กลุ่มที่ค้นหาข้อมูล PBL พี่แนน ได้เสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับPBL 

                            
                        PBL คือ การศึกษาที่ใช้ปัญหาในสังคมมาเป็นตัวกระตุ้นและเป็นแนวทางหลักในการให้ผู้เรียนได้ศึกษา เป็นกระบวนการแก้ปัญหาอย่างมีระบบ โดยมีรูปแบบการศึกษาอยู่ 7 ขั้นด้วยกัน.

1.ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ของการเรียนรู้ (ให้ผู้เรียนเป็นคนคิด ตัดสินในเรื่องต่างๆด้วยตนเอง)
2.จัดแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ
3.พ่อ-แม่มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียน
4.ใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้น ให้เกิดการเรียนรู้
5.ลักษณะของปัญหา ควรจะมีลักษณะคลุมเครือ ไม่ชัดเจนมากนัก เพื่อจะได้มีวิธีแก้ปัญหาได้อย่างหลากหลาย
6.ให้ผู้เรียนเป็นผู้แก้ปัญหา โดยหาความรู้ใหม่ๆด้วยตัวเอง
7.ประเมินผล โดยประเมินผลจากสถานการณ์จริง ดูจากความสามารถในการปฏิบัติของผู้เรียน

                                 
                          นอกจากนี้ ยังได้เห็นขั้นตอนของการเรียน PBL อีกด้วย เมื่อเราได้รู้ข้อมูลของ PBL แล้ว พี่เกล จึงลงมือเขียนย่อๆลงในกระดาษที่มีให้ จนถึงเวลาเอาออกมานำเสนอ คราวนี้เป็นหน้าที่ของน้องๆเหลือ ที่จะต้องออกมาพูดให้พ่อๆแม่ๆฟังบ้างล่ะ เคล็ดลับการลดความตื่นเต้นของฉันคือ ให้คิดว่าคนที่เราจะพูดให้ฟังนี้ ก็มีแต่คนรู้จักของเราทั้งนั้นเลย แล้วก็สูดหายใจลึกๆจะช่วยได้ หลังจากงานประเมินที่ผ่านมา เนื่องจากฉันได้เป็นพิธีกร เลยทำให้มีประสบการณ์พูดขึ้นมานิดหนึ่งครั้งนี้ ฉันก็ยังตื่นเต้นอยู่ แต่ฉันเชื่อว่าถ้าคราวนั้นไม่ได้เป็นพิธีกร ฉันคงจะตื่นเต้นหนักมากกว่านี้แน่นอน
                                
                          แต่อย่างไรก็ตาม ในการพูดครั้งนี้ ฉันก็รู้สึกว่ายังพูดออกมาได้ไม่ดีนัก ฉันพูดค่อนข้างเร็ว และเบา ฉันไม่ค่อยมองพ่อๆแม่ๆ ฉันอ่านตามที่เขียนไว้ทั้งหมดเลย และคิดว่าไม่ควรอ่านตามนั้นทั้งหมด มันจะดูเหมือนท่อง ไม่เป็นธรรมชาติ เพราะตามมรรยาทการพูดนั้น ควรจะมองผู้ฟังด้วยเป็นระยะๆ และรู้สึกชื่นชมพี่ๆมาก ที่ดูพูดกันอย่างไม่ค่อยตื่นเต้นกันเลย ดูเป็นธรรมชาติกันมากๆ
และฉันก็ยังรู้สึกขอบคุณเหล่าพ่อๆแม่ๆทุกคน ที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ ดูเหมือนอยากจะให้ความรู้พวกเรากันอย่างเต็มที่ ฉันจึงเชื่อว่า ถ้าเราทุกคนร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่ ก้าวผ่านอุปสรรคได้แล้วละก็ การทำโครงงานครั้งนี้จะต้องสำเร็จไปได้ด้วยดีแน่ๆ