วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

จดหมายกิจธุระ

      การเขียนจดหมายกิจธุระ
วัตถุประสงค์ของการเขียนจดหมายกิจธุระมีได้หลายกรณี เช่น เชิญวิทยากร ขอความอนุเคราะห์ ขอบคุณ ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์ใด ส่วนต่างๆในจดหมายก็จะเหมือนกัน ดังนี้
1.หัวจดหมาย
คือส่วนที่เป็นชื่อและที่อยู่ขององค์กรหรือหน่วยงานที่เป็นต้นสังกัดของผู้ออกจดหมาย เช่น โรงเรียน ชมรม ฯลฯ หากเป็นจดหมายที่ออกโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ก็ใช้ชื่อและที่อยู่ของบุคคลนั้น ถ้ามีหัวกระดาษแสดงตราของหน่วยงานนั้นๆ ถ้านำมาใช้ต้องระบุชื่อและที่อยู่ของผู้ออกจดหมายให้ชัดเจนด้วย

2.ลำดับที่ของจดหมาย
อยู่ตำแหน่งซ้ายบรรทัดเดียวกับบรรทัดแรกของที่อยู่ที่ออกของหัวจดหมาย ใช้คำว่า “ที่”ขึ้นต้น ตามด้วยเลขบอกลำดับของจดหมาย ใส่เครื่องหมาย/และใส่ปีพ.ศ.ไป เช่น ที่ 1/2559 ส่วนองค์กรที่มีชื่อย่อขององค์กร ให้ใส่หลังคำว่า “ที่”

3.วัน เดือน ปี
เขียนจากกลางกระดาษไปทางขวาเล็กน้อย ไม่ต้องใส่คำว่า “วันที่” ชื่อเดือนและพ.ศ.ไม่ต้องย่อคำ เช่น 1 มกราคม 2559

4.เรื่อง
ชื่อหัวข้อเรื่องที่จะเป็นสาระสำคัญของจดหมายฉบับนั้น ควรเป็นประโยคที่สั้นกระชับ บอกวัตถุประสงค์ที่ออกจดหมายให้ชัดเจน เช่น ขอความอนุเคราะห์เข้าไปบันทึกภาพการทำงานขององค์กร ฯลฯ

5.คำขึ้นต้น
จดหมายกิจธุระใช้คำว่า “เรียน”ขึ้นต้นจดหมายเสมอ ตามด้วยชื่อ-นามสกุลหรือตำแหน่งของของผู้รับจดหมาย เช่น เรียนท่านผู้อำนวยการโรงเรียน ฯลฯ

6.ข้อความ
ข้อความซึ่งเป็นเนื้อหาหลักของจดหมาย ต้องมี 2 ย่อหน้าเป็นอย่างน้อย

ย่อหน้าแรก          ให้บอกสาเหตุที่ทำให้ต้องเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา ถ้าข้อความที่จะแจ้งมีมาก ก็อาจแบ่งไปอยู่ในย่อหน้าที่สองได้ตามความเหมาะสม เริ่มด้วยคำว่า “เนื่องด้วย,ด้วย,เนื่องจาก” เช่น เนื่องจากคณะทำงานทำการศึกษาเรื่องปัญหาสุนัขจรจัด...ฯลฯ ในกรณีที่เป็นจดหมายตอบหรือจดหมายที่ส่งไปติดตามเรื่อง ต้องเท้าความเรื่องที่เคยติดต่อกันไว้ โดยใช้คำว่า “ตามที่”ขึ้นต้นเรื่อง และลงท้ายด้วย “นั้น” เช่น ตามที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ ได้ให้ความอนุเคราะห์ส่งนิสิตไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้านั้น..ฯลฯ

ย่อหน้าที่สอง        บอกวัตถุประสงค์ว่าต้องการให้ผู้รับจดหมายดำเนินการอะไร เป็นย่อหน้าสั้นๆแต่ชัดเจน เช่น จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา,จึงเรียนมาเพื่อขอความอนุเคราะห์ ฯลฯ

7.คำลงท้าย
ใช้คำว่า “ขอแสดงความนับถือ”อยู่ตรงกับวันที่

8.ลายมือชื่อ
ต้องเป็นลายมือชื่อจริงของผู้ลงชื่อ ไม่ใช่ลายมือชื่อที่ใช้ตรายางประทับ

9.ชื่อเต็มของผู้เขียนจดหมาย
พิมพ์อยู่ในวงเล็บ ต้องมีคำนำหน้าชื่อเสมอ เช่น นาย...

10.ตำแหน่งของผู้เขียนจดหมาย
ถ้าผู้เขียนจดหมาย มีตำแหน่งรับผิดชอบงานหรือหน่วยงานที่ออกจดหมาย จะต้องพิมพ์กำกับในบรรทัดถัดไป หากเป็นจดหมายที่ออกในนามชมรม ฯลฯ ต้องลงลายมือชื่อของอาจารย์ที่ปรึกษากำกับท้ายจดหมายด้วยทุกครั้ง

11.หน่วยงานที่ออกจดหมายและเบอร์โทรศัพท์ติดต่อของผู้เขียนจดหมาย
นิยมพิมพ์ไว้ลำดับสุดท้ายชิดขอบจดหมายด้านซ้าย โดยมีหมายเลขโทรศัพท์อยู่บรรทัดต่อไป หากมีหมายเลขโทรสารและที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ก็ให้ระบุไว้ด้วย เพื่อให้ผู้รับจดหมายสามารถติดต่อกลับได้สะดวก

12.ซองจดหมาย

อาจใช้ซองจดหมายขนาดมาตรฐาน 5x7 นิ้ว หรือขนาดเท่าจดหมายราชการ รหัสไปรษณีย์ให้ใช้เป็นเลขอารบิก

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญาเเห่งประเทศไทย

 สมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย

11/10/59
            วันนี้ พวกเราได้ไปที่สมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย เพราะในวันนี้ โครงการ Pic A Pet4Home จะนำสุนัขมาช่วยบำบัดคนพิการทางสติปัญญา ป้าแครี่ซึ่งอยู่ในโครงการนี้ด้วยจึงบอกข่าวมา พวกเราจึงขออนุญาตตามมาสังเกตการณ์ด้วย
            สมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทยตั้งอยู่ที่ ถนนรามอินทรา ซอย 8 เมื่อมาถึงเจ้าหน้าที่ก็ได้พาไปยังห้องที่จัดงานขึ้น ในห้องนี้มีทีมงาน Pic A Pet4Home ซึ่งกำลังนำสุนัขออกมาให้เหล่าผู้พิการได้จับและจูงเล่น(สุนัขที่นำมาส่วนหนึ่งเป็นสุนัขจรจัด) โดยสุนัขทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นสุนัขที่เชื่องและเข้ากับคนได้ง่าย สุนัขมีอยู่ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่ สุนัขพันธุ์เล็ก และสุนัขพันทาง
            สำหรับคนพิการบางคน ในตอนแรกๆที่นำสุนัขออกมาก็กลัว ไม่กล้าจับ อาจเป็นเพราะกลัวโดนกัด และไม่คุ้นชินกับสุนัข เมื่อเห็นคนอื่นๆจับสุนัขกัน ก็ค่อยๆจับสุนัขอย่างกล้าๆกลัวๆ โดยทีมงานคอยบอกวิธีจับอยู่ เช่น อย่าจับสุนัขแรง ไม่เสียงดัง และสุนัขไม่ดุ จับได้ พวกเขาก็เริ่มมีความกล้ามากขึ้น และลูบตัวของสุนัขอย่างระมัดระวัง เมื่อคุ้นชินกับสุนัขแล้ว พวกเขาก็ไม่มีปฏิกิริยาหวาดกลัวอีกต่อไป ทั้งยังมีรอยยิ้มแห่งความสุข ที่ได้เล่นกับสุนัขเหล่านี้ ต่อมาทีมงานก็เชิญชวนให้พวกเขามาร่วมแต่งตัวให้สุนัขจากชุดที่มีเตรียมไว้ให้ ซึ่งเหล่านี้ได้เพิ่มรอยยิ้มให้มีมากขึ้นอีก เมื่อได้ลองใส่และเปลี่ยนชุดให้สุนัข รวมทั้งมีการถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน สุนัขแต่ละตัวก็ดูมีความสุขที่มีคนมาจับมาเล่นด้วย
จากวันนี้ ทำให้เห็นได้ว่าสุนัขจรจัดนั้น หากมีคนคอยเอาใจใส่ ดูแล มันก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้ผู้คนได้ เป็นภาพที่น่าประทับใจมากๆ และในตอนแรก ฉันคิดว่าคนพิการทางสมองเหล่านี้ จะต้องมีความคิดหรืออะไรต่างๆที่ไม่เหมือนกับพวกเรา แต่จากวันนี้ทำให้เห็นว่าพวกเขาไม่ต่างอะไรไปจากคนทั่วไปเลย พวกเขาก็มีความสุข สนุกสนานที่ได้มาใช้เวลาร่วมกับสุนัข ไม่ต่างอะไรจากคนปกติทั่วไปเลย


ปล. พี่ซี พี่แปม ปุ้นและปั้นไม่สามารถมาร่วมทำกิจกรรมในครั้งนี้ได้

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บ้านป้าเเครี่

บ้านป้าแครี่
3/10/59
            เมื่อหลายวันก่อน แม่อ้อเคยบอกพวกเราว่า มีคุณป้าอยู่ท่านหนึ่ง เป็นหนึ่งในกลุ่มองค์กรที่มีชื่อว่า Pic A Pet4Home ป้าแครี่จะคอยรับสุนัขจรจัดมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน ดูแล และหาบ้านใหม่ให้พวกมัน ตอนนี้ที่บ้านของป้าแครี่ก็มีสุนัขอยู่มากถึง 70 ตัวแล้ว พวกเราสามารถไปพูดคุยกับป้าแครี่ได้ ซึ่งพวกเราทุกคนมีความเห็นตรงกัน
            เมื่อพวกเรามาถึงยังบ้านป้าแครี่ บ้านป้าแครี่ต่างจากที่ฉันจินตนาการไว้ บ้านป้าแครี่ที่ฉันนึกไว้ จะมีลักษณะกว้างขวางใหญ่โต และอยู่ห่างออกมาจากบ้านหลังอื่นๆ แต่จากที่เห็นแล้ว บ้านป้าแครี่มีลักษณะและขนาดเหมือนกับบ้านทั่วไปบริเวณนั้น ต่างแค่ที่มีสุนัขอยู่จำนวนมากเท่านั้น สุนัขส่วนใหญ่จะถูกกั้นไว้ให้อยู่ฝั่งหนึ่งของบ้าน ส่วนที่พวกเรายืนอยู่จึงไม่มีสุนัขออกมาให้เห็น สังเกตได้ว่าสุนัขทั้งหมดนั้นแทบจะไม่ส่งเสียงดัง เมื่อเราเข้ามามีเสียงสุนัขบางตัวเห่าเล็กน้อยก่อนจะเงียบไป ต่างจากที่คิดไว้ว่าบ้านหลังนี้จะต้องเสียงดังมากแน่นอน เพราะมีสุนัขอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมากขนาดนี้
            ในที่สุด ป้าแครี่ก็เดินออกมาและแนะนำตัวเองก่อนที่พวกเราจะอธิบายที่มาของโครงงานเรื่องสุนัขจรจัดที่กำลังทำกันอยู่คร่าวๆ จากนั้นพวกเราก็เริ่มการสัมภาษณ์ป้าแครี่ พี่ซีตั้งกล้องสำหรับถ่ายวิดิโอ ฉันและพี่แปมช่วยกันตั้งคำถามถามป้าแครี่ ปุ้น ปั้นและขมิ้นช่วยกันจดบันทึกข้อมูล และข้าวปุ้นก็คอยเก็บภาพจากมุมต่างๆ จนพวกเราก็ได้คำสัมภาษณ์ป้าแครี่ออกมาดังนี้

1.สุนัขจรจัดเป็นปัญหาอย่างไร
            สำหรับนักท่องเที่ยวมาเห็นก็คงจะเป็นภาวะทางสายตา ดูไม่ดี สำหรับคนที่ไม่ชอบสุนัข แค่เห็นก็จะไม่ชอบแล้ว บางคนกลัวถูกสุนัขกัด สุนัขบางตัวก็จะชอบวิ่งไล่รถยนต์ ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย คนมักจะติดต่อแจ้งให้เทศกิจมาจับสุนัขไป ซึ่งการจับสุนัขนั้นจะต้องใช้สวิงไล่จับเอา เป็นภาพที่น่าสงสาร เจ้าหน้าที่จะจับสุนัขจรจัดไปไว้ที่ศูนย์พักพิงประเวศน์ชั่วคราว ก่อนจะส่งต่อไปยังจังหวัดอุทัยธานี เพราะที่ประเวศน์นั้นสามารถรองรับสุนัขจรจัดได้เพียง 5,000 ตัวเท่านั้น
            ทุกสัปดาห์จะมีรถบรรทุกลักษณะคล้ายกับรถเก็บขยะมารับสุนัข สุนัขจรจัดจำนวน 100 ตัวจะถูกจับใส่กรงเล็กๆวางซ้อนกันอยู่ท้ายรถบรรทุก ด้วยการเดินทางหลายชั่วโมง อากาศที่ร้อนและคับแคบทำให้เมื่อมาถึง สุนัขจำนวนไม่น้อยต้องตายไป สุนัขจรจัดที่อยู่รอดก็ไม่ได้มีชีวิตดีกว่าสักเท่าไหร่ เพราะต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีจำกัดคับแคบ เมื่อมีโรคก็จะติดต่อกันเป็นโรคระบาด เสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก และสุนัขแต่ละตัวก็จะตายอย่างทรมาน หากแพทย์รักษาไม่ทัน ซึ่งแพทย์ที่คอยดูแลอยู่มีจำนวนไม่ถึง 10 คนต่อสุนัขจำนวนหลายหมื่นตัว

2.คิดว่าสาเหตุของการมีสุนัขจรจัดคืออะไร
            เกิดจากเจ้าของที่ไม่มีความรับผิดชอบ เมื่อสุนัขถูกนำมาปล่อยทิ้ง จากที่เคยอยู่ในบ้าน ทำให้ไม่คุ้นเคยกับโลกภายนอก ไม่รู้จักการข้ามถนน ทำให้ถูกรถชนไปเป็นจำนวนมาก สำหรับสุนัขจรจัดบางตัวที่เป็นสุนัขจรจัดมานานแล้ว อาจจะพอรู้จักการข้ามถนนอย่างปลอดภัย แต่กว่าที่มันจะเรียนรู้ได้ ก็มีสุนัขจำนวนไม่น้อยถูกรถชนไป
            การที่เราจะเลี้ยงสุนัข 1 ตัว จะต้องรับผิดชอบเลี้ยงไปตลอด ไม่ใช่ว่าเมื่อเบื่อก็ทิ้ง เวลาพาออกไปเดินเล่นนอกบ้านก็ต้องมีสายจูงจูงอยู่ตลอด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ถ้าสุนัขขับถ่ายก็ต้องเก็บทำความสะอาดให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยไว้ให้เป็นภาระของคนอื่น ฉัดวัคซีนป้องกันโรคให้สุนัข และที่สำคัญคือจะต้องทำหมันให้สุนัขทุกตัว บางคนบอกว่าเลี้ยงสุนัขในบ้าน ไม่เป็นไรหรอก แต่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมาก็ได้ เช่นสุนัขหลุดออกมาจากบ้านและผสมพันธุ์ ดังนั้นก็ควรจะป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด


3.มีความเห็นอย่างไรกับการซื้อ-ขายสุนัขตามร้านค้า
            ไม่สนับสนุนการซื้อ-ขายสุนัขเลย เพราะร้านค้าแบบนี้ส่วนใหญ่มักจะเพาะพันธุ์สุนัขเพื่อขายเอาเงินเท่านั้น ไม่ฉีดวัคซีน แต่อาจโกหกลูกค้าว่าฉีดแล้ว เพราะลูกสุนัขนั้น ถ้ายังเด็กจะฉีดวัคซีนได้แค่ไม่กี่ชนิด เพราะถ้าจะรอให้ฉีดวัคซีนได้ทุกชนิด ลูกสุนัขก็จะโตและขายไม่ออกแล้ว ทำให้เมื่อซื้อลูกสุนัขตามร้านค้าแล้วลูกสุนัขส่วนใหญ่จะเป็นโรคตายกันทั้งนั้น ที่สำคัญพวกเขาไม่ใส่ใจ ไม่สนใจว่าลูกสุนัขและพ่อ-แม่พันธุ์ จะมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง เมื่อขายไม่ออก หมดประโยชน์แล้วก็จะไม่สนใจอีก
4.อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ป้าแครี่ช่วยเหลือสุนัขจรจัด
            รู้สึกสงสารพวกมัน สุนัขที่มักถูกคนละเลยมองข้าม เวลาเห็นแววตาที่เศร้าสร้อยของสุนัขจรจัดเหล่านั้นทำให้รู้สึกแย่ และสงสารพวกมันมาก จึงช่วยเหลือสุนัขจรจัดมาตั้งแต่ พ.ศ.2544 และเริ่มช่วยเหลืออย่างจริงจังตั้งแต่พ.ศ. 2549 ตอนนี้ก็เป็นเวลา 15 ปีแล้ว ช่วยเหลือสุนัขมาจำนวน 1,000 ตัวแล้ว
5.อุปสรรคการทำงานมีอะไรบ้าง
            ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดู ค่าอาหาร ค่าวัคซีน ล้วนเป็นเงินส่วนตัวทั้งนั้น ตอนนี้ก็เริ่มน้อยลงแล้ว ยังดีที่ยังพอมีเงินบริจาคเข้ามาช่วยอยู่บ้าง นิสัยของสุนัขบางตัวจะขี้กลัวและหวาดระแวง แก้ไม่ได้ เวลามีคนมาดูสุนัขเพื่อจะรับไปเลี้ยงก็มักจะรับสุนัขที่เชื่องและเป็นมิตรไป ทำให้สุนัขที่ขี้กลัวจะต้องเลี้ยงไว้เอง แล้วก็คนไทยส่วนใหญ่มักจะมีความเชื่อที่มันไร้สาระมาก คือจะไม่เลือกสุนัขหรือแมวที่มีสีดำหรือสีเปรอะ(สุนัขที่มีสีขนปนๆกัน) เพราะคิดว่าเป็นสีอัปมงคล สุนัขพิการก็ไม่เอา ในขณะที่ชาวต่างชาติกลับไม่สนใจในเรื่องนี้เลย
6.ตลอดเวลาการช่วยเหลือสุนัขจรจัดมาหลายปี รู้สึกอย่างไรบ้าง
            รู้สึกว่าในขณะที่คนทำให้เราเสียใจได้ แต่สุนัขไม่เคยทำให้เราเสียใจเลยสักครั้ง มีแต่เพิ่มความสุขให้เรา ตั้งแต่ช่วยเหลือสุนัขจรจัดมา 15 ปี เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน คิดว่าสุนัขจรจัดมีจำนวนลดลงบ้างแล้ว อาจเป็นเพราะมีคนมาช่วยรับอุปการะสุนัขเพิ่มขึ้น และยังมีสัตวแพทย์มาช่วยทำหมันให้ฟรีด้วย
7.อยากแก้ปัญหาสุนัขจรจัดอย่างไร                                                 
            อยากให้มีสื่อชักชวนหรือรณรงค์ให้ผู้คนตระหนักถึงความรับผิดชอบในสัตว์เลี้ยง ไม่นำมาปล่อยเพิ่ม และรณรงค์ให้ทำหมันสุนัขทุกตัวเพื่อไม่ให้สุนัขเพิ่มจำนวนมากขึ้น สำหรับสุนัขชุมชน ก็ไม่อยากให้แจ้งเทศกิจมาจับไป แต่อยากให้ช่วยกันแก้ปัญหา นำสุนัขไปทำหมัน อย่างน้อยสุนัขจะได้ไม่แพร่พันธุ์เพิ่มขึ้น อยากให้ทางรัฐบาลแทรกความรู้เนื้อหาของการเลี้ยงสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบในการศึกษาแกนกลาง เพื่อสอนให้เด็กเข้าใจ และปลูกฝังสู่เด็กรุ่นต่อไปจะได้ไม่ทิ้งสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ
8.อยากบอกอะไรกับคนในสังคม
            ถ้ายังไม่พร้อมจะเลี้ยงสัตว์ ก็อย่าเลี้ยง เพราะจะกลายเป็นภาระให้สังคม เมื่อจะเลี้ยงก็ต้องมีความรับผิดชอบ

            เมื่อสัมภาษณ์เสร็จ เรื่องราวที่ป้าแครี่เล่าให้พวกเราฟัง ทำให้รู้สึกว่าสุนัขจรจัดนั้นน่าสงสารมาก และการแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาจับสุนัขไปนั้น ก็เหมือนกับผลักไสสุนัขออกไปจากตัว เพราะการไปอยู่ที่ศูนย์พักพิงประเวศน์มันไม่ได้ดีไปกว่าการอยู่ตามถนนสักเท่าไหร่นัก

            จากนั้นพวกเราก็จะนำขนมสุนัขที่หุ้นกันมา เอาไปให้สุนัขที่บ้านป้าแครี่กิน โดยจะต้องเอาขนมแต่ละชนิดมาผสมกันในกะละมัง และจะยิ่งดีมากขึ้นถ้าหักขนมให้มีชิ้นเล็กลง เพื่อที่สุนัขจะได้กินง่าย ป้าแครี่บอกว่า เมื่อเข้าไปแล้วให้แยกกันเอาขนมให้สุนัข เพราะสุนัขมีอยู่จำนวนมาก และทุกตัวก็อยากจะกินขนม ดังนั้นเมื่อป้าแครี่เปิดประตูกั้นให้พวกเราเข้าไป ก็แยกกันโปรยขนมลงพื้นให้สุนัข หากป้อนกับมือสุนัขบางตัวอาจงับมือเราได้ สุนัขทุกตัวดูกระตือรือร้นและดีใจมากที่มีขนมมาให้กิน ในเวลาไม่นานนัก ขนมในกะละมังก็หมดลง แต่ยังเหลือขนมอยู่อีกหลายถุงที่ยังไม่ได้แกะ ซึ่งเราจะให้ป้าแครี่เก็บไว้ให้ในครั้งต่อไป

            สุนัขที่นี่มีอยู่ทุกรูปแบบ สุนัขพันธุ์ใหญ่ สุนัขพันธุ์เล็กสุนัขเต็มวัยคือปกติดีทุกอย่างเพียงแต่เป็นสุนัขจรจัดเท่านั้น สุนัขตาบอด มีอยู่จำนวนหนึ่ง บางตัวไม่มีลูกตาทั้งสองข้าง มีสุนัขที่พิการ เดินไม่ได้ต้องใช้ขาหน้าลากตัวเองไป สุนัขที่มีเพียงสามขา สุนัขแม่-ลูกอ่อน ซึ่งจะถูกแยกไว้อีกรงหนึ่ง นอกจากสุนัขแล้วยังมีแมวอีกหลายตัว ฉันรู้สึกตื้นตันใจที่ได้มาให้ขนมสุนัขเหล่านี้ และรู้สึกว่าสิ่งที่ป้าแครี่กำลังทำอยู่มันช่างยิ่งใหญ่มาก สุนัขแต่ละตัวดูมีความสุข และคงจะมีความสุขมากขึ้นไปอีก ถ้ามีเจ้าของมารับไปเลี้ยงดูเอาใจใส่ ป้าแครี่บอกว่าคนมักจะเลือกสุนัขที่เข้ากับคนง่าย ดังนั้นถ้าใครว่างๆสามารถมาช่วยงานได้ มาช่วยอยู่ เล่นกับสุนัขให้มันคุ้นชินกับคน วันนี้พวกเราขอบคุณป้าแครี่ที่ให้พวกเราสัมภาษณ์ และทำให้ได้ความรู้มากขึ้น