การสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์คือการคุยอย่างมีจุดมุ่งหมาย ถามสิ่งที่อยากรู้อย่างมีวัตถุประสงค์ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดทัศนคติของผู้ถูกสัมภาษณ์
ก่อนที่จะทำการสัมภาษณ์ ควรเตรียมข้อมูลในเรื่องที่จะเอามาถามผู้ถูกสัมภาษณ์ด้วยสักเล็กน้อย ต้องขออนุญาติก่อนทำการสัมภาษณ์ทุกครั้ง เพื่อเเจ้งให้ผู้ถูกสัมภาษณ์รับทราบว่าจะถูกสัมภาษณ์ อัดวิดิโอ หรืออัดเสียง และถ้าจะถ่ายภาพหรืออัดวิดิโอเด็กที่มีอายุต่ำว่า 18 ปี จะต้องได้รับการยินยอมอนุญาติจากพ่อแม่ก่อน มิฉะนั้น พ่อแม่สามารถแจ้งข้อหาได้หากไม่ยินยอม
ประเภทของการสัมภาษณ์
1.การสัมภาษณ์แบบเป็นทางการ เป็นการสัมภาษณ์ที่สัมภาษณ์ผู้ใหญ่ในตำแหน่งสูง ควรจะส่งคำถามที่จะถามล่วงหน้าไปให้ก่อน เพื่อที่ผู้ถูกสัมภาษณ์จะได้รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวตอบคำถามใดบ้าง และควรจะนัดวันสัมภาษณ์ล่วงหน้าก่อน แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ให้ถูกต้องตามกาลเทศะ
2.การสัมภาณ์แบบไม่เป็นทางการ เป็นการสัมภาษณ์ผู้คนทั่วไป ต้องขออนุญาติก่อนสัมภาษณ์ทุกครั้ง อาจใช้วิธีการพูดที่เป็นกันเอง เพื่อที่ผู้ถูกสัมภาษณ์จะได้รู้สึกผ่อนคลาย และตอบคำถามอย่างไม่อึดอัด
แต่ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์แบบใดก็ตาม ก็ต้องใช้คำที่สุภาพทั้งสิ้น ใช้ภาษาให้ถูกต้อง
หลักเกณฑ์การสัมภาษณ์
1.ผู้สัมภาษณ์ต้องมีจุดหมายที่ชัดเจนว่าต้องการรู้ข้อมูลใดจากผูู้ถูกสัมภาษณ์
2.ผู้สัมภาษณ์ต้องเตรียมคำถามไว้ก่อนล่วงหน้า
3.ผู้สัมภาษณ์ต้องสร้างบรรยากาศเป็นกันเอง(ในกรณีที่สัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ สัมภาษณ์บุคคลทั่วไป)เพื่อให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ผ่อนคลาย ยิ้มแย้มเเจ่มใส
4.ผู้สัมภาษณ์ควรรู้ข้อมูลในเรื่องที่จะนำมาสัมภาษณ์ไว้บ้าง เพื่อจะได้ช่วยในการสรุปผล และช่วยในการตั้งคำถามเสริมขณะสัมภาษณ์
5.จดบันทึกเนื้อหาจากการสัมภาษณ์อย่างรวดเร็ว เก็บบันทึกในขั้นตอนที่สำคัญ
การใช้การสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์จะต้องมีข้อระวังดังนี้..
1.ผลของการสัมภาษณ์ขึ้นอยู่กับวิธีการ ลักษณะ และคำถามที่จะใช้ของผู้สัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณืจึงควรมีลักษณะดังนี้..
1.1 เตรียมตัวให้พร้อม แต่งตัวให้ถูกต้องตามกาลเทศะ
1.2 คล่องแคล่วในการใช้คำถามและสรุปผล
1.3พยายามถามในเรื่องที่ผู้ถูกสัมภาษณ์อยากจะตอบ
2.ผู้ถูกสัมภาษณ์จะให้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับความร่วมมือ ดังนั้นผู้สัมภาษณ์ควรปฏิบัติดังนี้..
2.1 สร้างความเป็นกันเอง(ในกรณีสัมภาษณ์บุคคลทั่วไป) ให้อิสระในการตอบ
2.2 ให้ความสนใจ จริงใจ แม้ว่าเรื่องที่พูดเราจะรู้ข้อมูลอยู่เเล้ว
2.3 ไม่ควรถามคำถามที่ทำให้เสียศักดิ์ศรีหรือเป็นจุดบกพร่องของผู้ถูกสัมภาษณ์
3.ควรเเจ้งวัตถุประสงค์การสัมภาษณ์ล่วงหน้า
4.อย่าให้มีอคติทางอารมณ์เกิดขึ้นกับผู้ถูกสัมภาษณ์
5.ไม่ควรให้เวลาในการสัมภาษณ์นานเกินไป ใช้คำถามที่รวบรัด
ขั้นตอนการสัมภาษณ์
1.ขั้นตอนเริ่มสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์จะต้องแนะนำตัวเอง บอกจุดมุ่งหมายของการสัมภาษณ์ พร้อมั้งพยายามชี้เเนะว่าเขามีส่วนสำคัญในการช่วยทำให้งานสัมภาษณ์เก็บข้อมูลนี้สำเร็จด้วยดี อาจจะชวนคุยในรื่องอื่นๆก่อน เพื่อให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เกิดความไว้วางใจ ถ้าจะมีการบันทึกวิดิโอต้องบอกผู้ถูกสัมภาษณ์ก่อนด้วย
2.ขั้นตอนสัมภาษณ์เนื้อหา ผู้สัมภาษณืควรคำนึงถึงหลักการดังนี้..
2.1 คำถามควรสั้นกระชับ และปล่อยให้ผู้ถูกสัมภาษณ์มีอิสระในการตอบ
2.2 อย่าวิพากวิจารณ์ผู้ให้สัมภาษณ์ เมื่อผู้ถูกสัมภาษณ์ให้ข้อมูลที่ขัดแย้งกับที่สังคมยอมรับ
2.3 อย่าใช้คำถามที่เป็นการชี้เเนะคำตอบ ใช้คำถามปลายเปิด เพื่อให้ได้ข้อมูลความคิดเห็นของผู้ถูกสัมภาษณ์
2.4 ไม่ควรเร่งรัดหรือคาดคั้นคำตอบจากผู้ถูกสัมภาษณ์
2.5 ในกรณีที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ยังให้คำตอบไม่ชัดเจนหรือครอบคลุมเกินไป อาจจผ่านคำถามนั้นไปก่อน เมื่อสัมภาษณ์เสร็จค่อยวกกลับมาคำถามเดิม โดยพูดเชิงทบทวนคำตอบ
3.ขั้นตอนยุติการสัมภาษณ์ กล่าวขอบคุณผู้ถูกสัมภาษณ์ที่ให้ความร่วมมือในการสัมภาษณ์เป็นอย่างดี โดยอาจจะมอบของขวัญเล็กๆน้อยๆ เช่น การ์ดขอบคุณ ขนม เป็นการขอบคุณ
การจดบันทึกคำตอบในการสัมภาษณ์
1.จดบันทึกทันทีหลังจากจบการสัมภาษณ์ เพื่อกันลืม
2.รายละเอียดที่ควรบันทึกมีดังนี้..
2.1 ชื่อผู้ถูกสัมภาษณ์
2.2 ที่อยู่ผู้ถูกสัมภาษณ์
2.3 วันที่สัมภาษณ์
2.4 ผลการสัมภาษณ์ ได้แก่..
-เรื่องที่สัมภาษณ์
-คำตอบที่ได้จากการสัมภาษณ์
-ความคิดเห็นของผู้ถูกสัมภาษณ์ต่อปัญหา
-ข้อสังเกตุที่ได้จากการสัมภาษณ์
-สรุปข้อเสนอเเนะและผลการสัมภาษณ์
3.บันทึกแต่เนื้อหาสาระเท่านั้น ไม่ควรเติมความคิดเห็นส่วนตัวลงไป
4.หากมีข้อใดที่ไม่ได้คำตอบ ควรเขียนเหตุผลลงไปด้วย
30/6/59
วันนี้ฉันนัดพบครอบครัวพี่แปมเพื่อฝึกการลงพื้นที่สำรวจชุมชนเป็นการฝึกฝนวิธีการลงพื้นที่ก่อนที่จะได้ลงมือทำจริงในโครงงานของพวกเรา สำหรับงานนี้เอง เรื่องมีอยู่ว่า รัฐบาลมีนโยบายก่อสร้างถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเเนวยาว 14 กม. ซึ่งถนนนี้เองจะถูกยกขึ้นสูง ทำให้ต้องรื้อบ้านและชุมชนบริเวณนั้น โดยรัฐบาลได้บอกว่าจะสร้างถนนนี้ขึ้น เพื่อให้ผู้คนด้านนอกได้เข้ามาชมวิวทิวทัศน์ เดินเล่น ฯลฯ
คนกลุ่มหนึ่งที่มีชื่อว่า Friends of the river เห็นว่าการสร้างถนนนี้เอง ทำให้ต้องรื้อชุมชนบริเวณนี้ทั้งหมดออก เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะชุมชนที่นี่เป็นชุมชนที่มีอยู่มานานมากเเล้ว มีความสำคัญมาก ดังนั้นพวกเขาจึง ตั้งใจจะลงพื้นที่สำรวจเเละสัมภาษณ์ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ เพื่อหาเอกลักษณ์ จุดเด่น ความสำคัญ และความคิดเห็นของผู้คน ไปนำเสนอกับรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลหยุดการก่อสร้างไว้ก่อน และมาคุยกันด้วยเหตุผล ซึ่งนี่เองคือจุดเริ่มต้นที่ฉันเเละพี่แปม ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์ได้ลองมาหาประสบการณ์การสัมภาษณ์ที่นี่นั่นเอง
เมื่อมาถึง แม่อ้อได้เกริ่นนำให้พวกเราก่อน โดยถามพวกเราว่า เมื่อพูดถึงถึงคำว่า"ชุมชน"เรานึกถึงอะไรบ้าง และสิ่งที่เรานึกกันออกมาก็มีดังนี้..
1.บ้านเรือน
2.ผู้คน
3.อาหาร
4.วัฒนธรรม
5.วัด
6.โรงเรียน
ฯลฯ
เมื่อเหล่าพี่ๆนักศึกษามากัน เราจึงรู้ว่าในวันนี้ พี่ๆจะมาเดินสำรวจก่อนเพื่อให้ได้รู้ว่าสถานที่ที่มีอยู่ในเเผนที่นี้ คือบริเวณใด ถึงเเม้ว่าวันนี้ฉันเเละพี่แปมจะไม่ได้ลงมือฝึกสัมภาษณ์จริงก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็จะได้มาคอยสังเกตุการณ์วิธีการลงพื้นที่ ว่าพี่ๆเขามีหลักการอย่างไรบ้าง จากที่สังเกตุดู สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการลงพื้นที่มีดังนี้
1.แผนที่
2.น้ำ
3.อัธยาศัยที่ดี
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ดูจะจำเป็นมากในการลงสำรวจพื้นที่ พวกเราเดินตามพี่ๆนักศึกษาไปเรื่อยๆ ในวันนี้เราลงสำรวจ 6 ชุมชนด้วยกัน สังเกตุได้ว่าในเเต่ละชุมชนจะมีวัดทุกชุมชน เสมือนกับว่าวัดคือศูนย์กลางของชุมชนเลยนั่นเอง เเละชุมชนนั้นก็จะมีชื่อเหมือนกับวัดซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชน เช่น ชุมชนวัดสิงห์หรือชุมชนวัดบวรมงคล เป็นต้น
เเต่ละชุมชนมักจะสถานที่หรือของต่างๆที่มีมานานเเล้ว ไม่ว่าจะเป็น ต้นโพธิ์อายุมากเเล้ว ซึ่งต้นโพธิ์ต้นนี้ได้ปกคลุมเจดีย์เก่าแก่ เมื่อพวกเราได้เจอกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ พี่ๆก็เข้าไปถามด้วยอัธยาศัยที่ดีเเละเป็นกันเองถึงเจดีย์นั้น ทำให้เราได้ข้อมูลซึ่งเล่ากันมาปากต่อปากว่า เจดีย์นี้สร้างไว้นานเเล้ว โดยในเจดีย์จะบรรจุพระเครื่องไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อน้ำขึ้น น้ำจึงกัดเซาะเจดีย์ตามกาลเวลา ทำให้พระเครื่องไหลออกมาตามน้ำ ชาวบ้านต่างก็พากันมาเก็บไป ตอนนี้ในเจดีย์จึงว่างเปล่าเเล้ว
เราเดินมาเห็นว่าวัดเเต่ละชุมชนนั้นถูกสร้างมานานมากเเล้ว เเละมีความสวยงามในตัวของมันเอง ถึงเเม้วัดจะเก่าเเต่ฉันรู้สึกถึงความโบราณศักดิ์สิทธิ์ มีไก่เเจ้เดินหาอาหารตามพื้นดินซึ่งฉันรู้สึกว่ามันเป็นภาพที่หาได้ยากในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครฯ
เราเดินกันมาหลายชั่วโมง เดินมามากกว่า 20,000 ก้าว ในวันนี้จากการได้มาสังเกตุการณ์ เฝ้าดูพี่ๆลงพื้นที่ ทำให้ฉันเห็นว่าการลงพื้นที่ต้องทำอย่างไรบ้าง การถามหาข้อมูลเล็กๆน้อยๆจากชาวบ้านต้องมีความกันเอง เเละไม่ถามเยอะเกินไปจนทำให้เกิดความระเเวง ก่อนจะถ่ายรูปอะไรก็ต้องขออนุญาตก่อนทุกครั้งตามมรรยาทที่ดี และไม่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอีกด้วย และเห็นว่าชุมชนที่พวกเรามาลงพื้นที่สำรวจนี้มีความสวยงามเเละวัฒนธรรมที่ดีงาม ควรค่าที่จะอนุรักษ์เอาไว้
วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559
เรียนทำวิดิโอ
Project Base Learning ที่บางรัก
เราตัดสินใจจะเริ่มทำ Project Base Learning เเล้ว หลังจากที่พวกเราผ่านการฝึกฝนทักษะด้านต่างๆมาเเล้วระยะหนึ่ง(21st centery skills) ถึงเวลาลงมือทำงานจริง ที่บางรักเป็นที่ที่่กำลังจะพัฒนาชุมชน
การพัฒนาชุมชนคือขบวนการที่กำหนดขึ้นเองเพื่อส่งเสริมเเละปรับปรุงภาวะต่างๆทางเศษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของท้องถิ่นต่างๆให้ดีขึ้นซึ่งเป็นการทำร่วมกันของผู้คนในท้องถิ่นนั้นเอง ทำให้เจริญขึ้น ปรับปรุงกลุ่มคนให้ดีขึ้น การพัฒนาความคิด
เขตบางรักเป็น 1 ใน 50 เขตการปกครองของกรุงเทพมหานคร อยู่ในเขตลุมพินี ซึ่งถือเป็นเขตศูนย์กลางธุรกิจ การค้า และการทูต เขตบางรักอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
อำเภอบางรักถูกก่อตั้งขึ้นในรัชกาลที่ ๕ ในวันที่ 5/6/2450 ต่อมาในพ.ศ.2515 ได้มีประกาศจัดตั้งกรุงเทพมหานครขึ้นเเทนที่นครหลวงกรุงเทพธนบุรี ซึ่งนครหลวงกรุงเทพธนบุรีเกิดจากการรวมกันของ จังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี อำเภอบางรักจึงได้เปลี่ยนเป็นเขตบางรัก
เขตบางรักมีพื้นที่ 5.536 และจำนวนประชากรอยู่ที่ประมาณ 46,898 คน(มกราคม2559)เขตบางรักถูกแบ่งออกเป็น 5 แขวงด้วยกัน นั่นคือ..
มหาพฤฒาราม
สีลม
สุริยวงศ์
บางรัก
สี่พระยา
เรียนการเขียนสตอรี่บอร์ดและตัดต่อ
25/6/59
วันนี้เรามาเรียนเรื่องของการเขียนสตอรี่บอร์ดและการตัดต่อกับครูกานต์ เพื่อเสริมทักษะในด้านนี้
หลักการคิด script
1.หาแนวคิด
2.มีข้อมูล
3.วิดิโอนี้สำหรับใครดู
เพื่อให้พวกเราเห็นภาพ ครูจึงชวนเราลองสมมุติการทำวิดิโอเรื่องของบางรัก
2.มีข้อมูล
ข้อมูลที่เราควรมีคือดังนี้..
1.อธิบายว่าบางรักคืออะไร(สำหรับคนที่ไม่รู้จักบางรักมาก่อน)
2.ภาพรวมของบางรัก
3.ปัญหาที่มีอยู่
4.ทางแก้
5.ความเเตกต่างระหว่างอดีตจนถึงปัจจุบัน
6.ข้อดีและข้อเสียของการพัฒนาชุมชน
คำถามที่เราควรจะถามผู้คนในละเเวกนั้น..
1.รู้สึกอย่างไรบ้างกับการพัฒนาชุมชน
2.คิดว่าควรจะพัฒนาชุมชนในด้านใดบ้าง
3.มีความสุขหรือไม่
4.คิดว่าผลกระทบต่อมาคืออะไร
3.สำหรับใคร
เราช่วยกันคิดว่าวิดิโอนี้ น่าจะถูกสร้างมาเพื่อให้ใครดูเป็นหลัก
1.นักศึกษา
2.คนรุ่นใหม่
ช่วงอายุราวๆ 25-40 ปี
ดังนั้นวิดิโอนี้ เราจะต้องออกแบบมาให้ตอบสนองต่อคนดู ต้องเป็นวิดิโอที่ทำให้คนอยากดู ครูจึงให้เราคิดกันว่าถ้าเป็นเราดูวิดิโอแบบใด เราถึงจะชอบและสนใจอยากจะดูต่อจนจบ ซึ่งเราทุกคนตอบมาเหมือนกันหมด นั่นคือ วิดิโอนี้ต้องสนุกไม่น่าเบื่อ ครูจึงถามต่อว่าเวลาเราดูหนังที่สนุก หนังจะต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง..
แอ็คชั่น
ตลก/เสียดสี
สวยงาม/มีหวังหวัง
อบอุ่นหัวใจ
ครูจึงให้คิดกันต่อว่าเราจะเอาเนื้อหาในวิดิโอมาตอบโจทย์ความสนุกอย่างไรได้บ้าง..
แอ็คชั่น อาจจะเป็นคนเถียงกัน
ตลก/เสียดสี อาจจะเป็นภาพบรรยากาศและคำบรรยายที่ขัดแย้งกัน
สวยงาม/มีหวัง มีสิ่งใหม่ ได้สิ่งที่หวังเอาไว้
อบอุ่นหัวใจ ภาพแม่-ลูก/เด็กวิ่งเล่นกัน
ครูบอกว่าในหลักการทำวิดิโอนั้น จะใช้หลักการจัดเรื่องราวนั้นๆให้อยู่ในหมวดหมู่อริสัจหรือจตุราริยสัจ นั่นคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
อริยสัจ เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระพุธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยสัจ มีอยู่ ๔ ประการคือ..
1.ทุกข์ คือสภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้เเก่ ชาติ(การเกิด)ชรา(การแก่ การเก่า)มรณะ(การตาย การสลายไป) พูดโดยง่าย ทุกข์คืออุปาทานขันธ์หรือขันธ์ 5
2.สมุทัย คือสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ตัณหาทั้ง 3 คือ กามตัณหา (ความทะยานอยากในกาม,ความอยากในกามารมณ์)ภวตัณหา(ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่,ความอยาก)และวิภวตัณหา(ความไม่อยากเป็นโน่นเป็นนี่)
3.นิโรธ คือความดับทุกข์ ได้แก่ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์(ดับตัณหาทั้งสาม)
4.มรรค คือแนวปฏิบัติที่นำไปสู่การดับทุกข์ มีอยู่แปดประการ คือ..
4.1 สัมมาทิฏฐฺิ(ความเห็นชอบ)
4.2 สัมมาสังกัปปะ(ความดำริชอบ)
4.3 สัมมาวาจา(เจรจาชอบ)
4.4สัมมากัมมันตะ(ทำการงานชอบ)
4.5 สัมมาอาชีวะ(เลี้ยงชีพชอบ)
4.6 สัมมาวายามะ(พยายามชอบ)
4.7 สัมมาสติ(ระลึกชอบ)
4.8 สัมมาสมาธิ(ตั้งใจชอบ)
ในวิดิโอของเรา เราสามารถยึดหลักการนี้มาใช้ได้ จะเรียงอย่างไรก่อนก็ได้
ครูสอนเรื่องของมุมภาพ โดยใช้หนังสือการ์ตูนช่องๆเป็นตัวช่วยให้เราเข้าใจกันมากขึ้น มุมแต่ละมุมจะมีความหมายไม่เหมือนกัน เช่น มุมกว้าง คือมุมที่เป็นภาพใหญ่ภาพเดียว เพื่อเล่าเรื่องราว ให้เห็นบรรยากาศโดยรอบของเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ มุมสูงหรือมุมด้านบน จะมีความหมายให้อารมณ์ถึงความสงสาร ต้อยต่ำ โดดเดี่ยว อ้างว้าง เหมือนกับเวลาที่พระเจ้ามองลงมาจากด้านบน จากนั้นครูก็นำอุปกรณ์สำหรับถ่ายทำวิดิโอออกมาให้พวกเราดู อุปกรณ์ทั้งหมายของครูมีดังนี้..
ด้านภาพ
1.กล้อง
2.เลนส์และเลนส์เสริม
3.แบตเตอร์รีและแบตเตอร์รีสำรองสัก 1-4 อัน
4.เอสดีการ์ด
5.ฟิลเตอร์ ทำหน้าที่ตัดแสง
6.เลนส์มาโคร สำหรับถ่ายอะไรที่มีขนาดเล็กหรือละเอียด
7.ขาตั้งกล้อง
ด้านเสียง
1.ไมโครโฟน short gun สำหรับต่อกับกล้อง ถ้าใช้สำหรับเก็บเสียงหลายคน สามารถต่อสายได้
2.ไมค์สัมภาษณ์หรือไมค์เหน็บ
ด้านเเสง
1.ไฟ LED สำหรับช่วยให้ความสว่าง
2.ฟิลเตอร์สี เผื่ออยากเปลี่ยนเป็นสีต่างๆให้เข้ากับบรรยากาศ
การทำวิดิโอขึ้นมา จะมีคนทำงานในตำแหน่งต่างๆ ได้แก่ ตากล้องหรือช่างภาพ ผู้ตัดต่อ ผู้เขียนสคริป และผู้สัมภาษณ์ เราต่างก็เลือกที่จะทำงานในงานที่ตัวเองถนัดที่สุด ฉันเองรับหน้าที่สัมภาษณ์ผู้คน
เราตัดสินใจจะเริ่มทำ Project Base Learning เเล้ว หลังจากที่พวกเราผ่านการฝึกฝนทักษะด้านต่างๆมาเเล้วระยะหนึ่ง(21st centery skills) ถึงเวลาลงมือทำงานจริง ที่บางรักเป็นที่ที่่กำลังจะพัฒนาชุมชน
การพัฒนาชุมชนคือขบวนการที่กำหนดขึ้นเองเพื่อส่งเสริมเเละปรับปรุงภาวะต่างๆทางเศษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของท้องถิ่นต่างๆให้ดีขึ้นซึ่งเป็นการทำร่วมกันของผู้คนในท้องถิ่นนั้นเอง ทำให้เจริญขึ้น ปรับปรุงกลุ่มคนให้ดีขึ้น การพัฒนาความคิด
เขตบางรักเป็น 1 ใน 50 เขตการปกครองของกรุงเทพมหานคร อยู่ในเขตลุมพินี ซึ่งถือเป็นเขตศูนย์กลางธุรกิจ การค้า และการทูต เขตบางรักอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
อำเภอบางรักถูกก่อตั้งขึ้นในรัชกาลที่ ๕ ในวันที่ 5/6/2450 ต่อมาในพ.ศ.2515 ได้มีประกาศจัดตั้งกรุงเทพมหานครขึ้นเเทนที่นครหลวงกรุงเทพธนบุรี ซึ่งนครหลวงกรุงเทพธนบุรีเกิดจากการรวมกันของ จังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี อำเภอบางรักจึงได้เปลี่ยนเป็นเขตบางรัก
เขตบางรักมีพื้นที่ 5.536 และจำนวนประชากรอยู่ที่ประมาณ 46,898 คน(มกราคม2559)เขตบางรักถูกแบ่งออกเป็น 5 แขวงด้วยกัน นั่นคือ..
มหาพฤฒาราม
สีลม
สุริยวงศ์
บางรัก
สี่พระยา
เรียนการเขียนสตอรี่บอร์ดและตัดต่อ
25/6/59
วันนี้เรามาเรียนเรื่องของการเขียนสตอรี่บอร์ดและการตัดต่อกับครูกานต์ เพื่อเสริมทักษะในด้านนี้
หลักการคิด script
1.หาแนวคิด
2.มีข้อมูล
3.วิดิโอนี้สำหรับใครดู
เพื่อให้พวกเราเห็นภาพ ครูจึงชวนเราลองสมมุติการทำวิดิโอเรื่องของบางรัก
2.มีข้อมูล
ข้อมูลที่เราควรมีคือดังนี้..
1.อธิบายว่าบางรักคืออะไร(สำหรับคนที่ไม่รู้จักบางรักมาก่อน)
2.ภาพรวมของบางรัก
3.ปัญหาที่มีอยู่
4.ทางแก้
5.ความเเตกต่างระหว่างอดีตจนถึงปัจจุบัน
6.ข้อดีและข้อเสียของการพัฒนาชุมชน
คำถามที่เราควรจะถามผู้คนในละเเวกนั้น..
1.รู้สึกอย่างไรบ้างกับการพัฒนาชุมชน
2.คิดว่าควรจะพัฒนาชุมชนในด้านใดบ้าง
3.มีความสุขหรือไม่
4.คิดว่าผลกระทบต่อมาคืออะไร
3.สำหรับใคร
เราช่วยกันคิดว่าวิดิโอนี้ น่าจะถูกสร้างมาเพื่อให้ใครดูเป็นหลัก
1.นักศึกษา
2.คนรุ่นใหม่
ช่วงอายุราวๆ 25-40 ปี
ดังนั้นวิดิโอนี้ เราจะต้องออกแบบมาให้ตอบสนองต่อคนดู ต้องเป็นวิดิโอที่ทำให้คนอยากดู ครูจึงให้เราคิดกันว่าถ้าเป็นเราดูวิดิโอแบบใด เราถึงจะชอบและสนใจอยากจะดูต่อจนจบ ซึ่งเราทุกคนตอบมาเหมือนกันหมด นั่นคือ วิดิโอนี้ต้องสนุกไม่น่าเบื่อ ครูจึงถามต่อว่าเวลาเราดูหนังที่สนุก หนังจะต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง..
แอ็คชั่น
ตลก/เสียดสี
สวยงาม/มีหวังหวัง
อบอุ่นหัวใจ
ครูจึงให้คิดกันต่อว่าเราจะเอาเนื้อหาในวิดิโอมาตอบโจทย์ความสนุกอย่างไรได้บ้าง..
แอ็คชั่น อาจจะเป็นคนเถียงกัน
ตลก/เสียดสี อาจจะเป็นภาพบรรยากาศและคำบรรยายที่ขัดแย้งกัน
สวยงาม/มีหวัง มีสิ่งใหม่ ได้สิ่งที่หวังเอาไว้
อบอุ่นหัวใจ ภาพแม่-ลูก/เด็กวิ่งเล่นกัน
ครูบอกว่าในหลักการทำวิดิโอนั้น จะใช้หลักการจัดเรื่องราวนั้นๆให้อยู่ในหมวดหมู่อริสัจหรือจตุราริยสัจ นั่นคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
อริยสัจ เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระพุธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยสัจ มีอยู่ ๔ ประการคือ..
1.ทุกข์ คือสภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้เเก่ ชาติ(การเกิด)ชรา(การแก่ การเก่า)มรณะ(การตาย การสลายไป) พูดโดยง่าย ทุกข์คืออุปาทานขันธ์หรือขันธ์ 5
2.สมุทัย คือสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ตัณหาทั้ง 3 คือ กามตัณหา (ความทะยานอยากในกาม,ความอยากในกามารมณ์)ภวตัณหา(ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่,ความอยาก)และวิภวตัณหา(ความไม่อยากเป็นโน่นเป็นนี่)
3.นิโรธ คือความดับทุกข์ ได้แก่ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์(ดับตัณหาทั้งสาม)
4.มรรค คือแนวปฏิบัติที่นำไปสู่การดับทุกข์ มีอยู่แปดประการ คือ..
4.1 สัมมาทิฏฐฺิ(ความเห็นชอบ)
4.2 สัมมาสังกัปปะ(ความดำริชอบ)
4.3 สัมมาวาจา(เจรจาชอบ)
4.4สัมมากัมมันตะ(ทำการงานชอบ)
4.5 สัมมาอาชีวะ(เลี้ยงชีพชอบ)
4.6 สัมมาวายามะ(พยายามชอบ)
4.7 สัมมาสติ(ระลึกชอบ)
4.8 สัมมาสมาธิ(ตั้งใจชอบ)
ในวิดิโอของเรา เราสามารถยึดหลักการนี้มาใช้ได้ จะเรียงอย่างไรก่อนก็ได้
ครูสอนเรื่องของมุมภาพ โดยใช้หนังสือการ์ตูนช่องๆเป็นตัวช่วยให้เราเข้าใจกันมากขึ้น มุมแต่ละมุมจะมีความหมายไม่เหมือนกัน เช่น มุมกว้าง คือมุมที่เป็นภาพใหญ่ภาพเดียว เพื่อเล่าเรื่องราว ให้เห็นบรรยากาศโดยรอบของเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ มุมสูงหรือมุมด้านบน จะมีความหมายให้อารมณ์ถึงความสงสาร ต้อยต่ำ โดดเดี่ยว อ้างว้าง เหมือนกับเวลาที่พระเจ้ามองลงมาจากด้านบน จากนั้นครูก็นำอุปกรณ์สำหรับถ่ายทำวิดิโอออกมาให้พวกเราดู อุปกรณ์ทั้งหมายของครูมีดังนี้..
ด้านภาพ
1.กล้อง
2.เลนส์และเลนส์เสริม
3.แบตเตอร์รีและแบตเตอร์รีสำรองสัก 1-4 อัน
4.เอสดีการ์ด
5.ฟิลเตอร์ ทำหน้าที่ตัดแสง
6.เลนส์มาโคร สำหรับถ่ายอะไรที่มีขนาดเล็กหรือละเอียด
7.ขาตั้งกล้อง
ด้านเสียง
1.ไมโครโฟน short gun สำหรับต่อกับกล้อง ถ้าใช้สำหรับเก็บเสียงหลายคน สามารถต่อสายได้
2.ไมค์สัมภาษณ์หรือไมค์เหน็บ
ด้านเเสง
1.ไฟ LED สำหรับช่วยให้ความสว่าง
2.ฟิลเตอร์สี เผื่ออยากเปลี่ยนเป็นสีต่างๆให้เข้ากับบรรยากาศ
การทำวิดิโอขึ้นมา จะมีคนทำงานในตำแหน่งต่างๆ ได้แก่ ตากล้องหรือช่างภาพ ผู้ตัดต่อ ผู้เขียนสคริป และผู้สัมภาษณ์ เราต่างก็เลือกที่จะทำงานในงานที่ตัวเองถนัดที่สุด ฉันเองรับหน้าที่สัมภาษณ์ผู้คน
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)